เป็นข้อถกเถียงกันมานานและยากจะหาข้อยุติ กับคำว่า “ทวาราวดี” ว่าคืออะไรกันแน่?
ยิ่งศึกษามาก ยิ่งค้นคว้ามาก นักวิชาการ นักโบราณคดีแต่ละคน ก็ยิ่งต่างมีความเห็นและความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป นักวิชาการรุ่นเก่าแต่เก๋าอาจเชื่อว่า ทวารวดีเป็นรัฐรวมศูนย์ ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมาปกครองแล้วแต่ว่าใครจะมีอำนาจที่สุดในช่วงเวลานั้น เน้นความเป็นศูนย์กลางอยู่ที่ตัวบุคคล ขณะที่นักวิชาการรุ่นใหม่นั้นมอง “ทวารวดี” เป็นสมัยเวลาทางวัฒนธรรมที่มีอาณาบริเวณกว้างไกลกว่าเขตแคว้นทางการเมือง ใครจะถูกจะผิดอาจไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ ที่แน่ๆ คือได้เห็นมุมมองและแนวคิดที่หลากหลายแตกต่างออกไปจากเดิม “มติชนอคาเดมี” จัดเส้นทางท่องเที่ยวที่สอดรับกับความเห็นเหล่านี้ เพื่อศึกษามุมมองว่า “ทวารวดี คืออะไรกันแน่?”
ก่อนออกเดินทางไปกับทัวร์ “พลังศรัทธา…พุทธศาสน์ งานช่าง ทวารวดี” นักโบราณคดีรุ่นใหม่กำลังสำคัญของมหาวิทยาลัยศิลปากร “รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง” ถือโอกาสปูพื้นเกี่ยวกับทวารวดีให้เห็นภาพกันพอเป็นพื้นฐานด้วยคำอธิบายเข้าใจง่าย
“ทวารวดี” ได้คำตอบหรือยังว่าที่จริงคือออะไร?
คำว่า ทวารวดี จริงๆ แล้ว เรานิยามความหมายปัจจุบัน มีหลายนิยามความหมายมาก แต่ในแวดวงวิชาการทั่วไป เวลาพูดถึงทวารวดีเรากำลังหมายถึง กลุ่มวัฒนธรรมกลุ่มหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และดูช่วงอายุอย่างคร่าวๆ คือตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 จนถึงราว พุทธศตวรรษที่ 16 เป็นช่วงที่เราเรียกช่วงทวารวดี นอกจากความหมายเบื้องต้นนี้แล้วอีกส่วนหนึ่งที่ยังคงเป็นปัญหาอยู่ มีผู้คนคิดว่า “ทวารวดี” เป็นชื่อบ้านเมืองด้วยหรือเปล่า ซึ่งแน่นอนว่าหลักฐานที่เรา
ได้จากเอกสารจีนก็ดี หรือบันทึกต่างๆ นานา ก็ดี มันต้องเป็นชื่อบ้านเมืองนั่นแหละ แต่ว่าบ้านเมืองนี้จะใช้ระบบการปกครองแบบไหน? แบบมีศูนย์กลางที่เดียวอยู่ตลอดเป็นเวลาร้อยๆ ปี เหมือนกรุงศรีอยุธยา 417 ปี หรือเหมือนกรุงเทพฯ 236 ปี อันนี้ยังเป็นที่ถกเถียง และยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะนักวิชาการบางคนมองว่าศูนย์กลางทวารวดีอยู่ที่ จ.นครปฐม บางคนมองว่าศูนย์กลางอาจจะเคลื่อนย้ายไปได้เรื่อยๆ ตามแต่ว่าผู้ปกครองเมืองไหนจะขึ้นมามีอำนาจมากกว่ากัน ดังนั้น ในเชิงของการปกครองหรือว่านิยาม บางท่านก็มองว่าเป็นอาณาจักรมีกษัตริย์ขึ้นครองราชย์ บางคนอาจมองว่าเป็นกลุ่มบ้านเมืองที่มารวมตัวกัน แล้วสถาปนาใครขึ้นมาปกครอง พออำนาจคนนี้หมดไปก็มีคนอื่นของบ้านเมืองใกล้เคียงขึ้นมาแทน นี่คือคำว่าทวารวดีที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน
เป็นชื่อราชวงศ์ด้วยหรือไม่
อืม..เรารู้ว่าต้องมีระบบกษัตริย์ เพราะมีชื่อของกษัตริย์อยู่ เช่น พระเจ้าหรรษวรมัน แต่ก็ยังมีปัญหาว่าจะเป็นกษัตริย์เขมรได้ไหม อันนั้นเป็นข้อถกเถียงอยู่ แต่ถึงขนาดเป็นชื่อราชวงศ์ไหม อันนี้ยังไม่มีหลักฐาน แต่อย่างน้อยที่สุดทำให้เรารู้ว่าชื่อทวารวดีเกิดจากหลักฐานที่เป็นเหรียญก็ดี จารึกบนฐานพระพุทธรูปก็ดี มันกระจายไปวงกว้าง ไม่ได้มีแค่เมืองใดมืองหนึ่งเท่านั้น มีทั้งที่นครปฐม อู่ทอง ไปจนถึง อ.ปากช่อง ปัจจุบัน
ทวารวดีอยู่ในดินแดนไทย?
อยู่ในดินแดนไทยแน่นอน เพราะ..1.เราพบจารึกบนเหรียญเงินที่พูดถึง “ศรีทวาราวดี ศวรปุณยะ” แปลว่า “บุญกุศลของพระราชาแห่งศรีทวารวดี” ซึ่งแสดงว่าทวารวดีนั้นมีจริงในประเทศไทย และยังมีจารึกบนฐานพุทธรูปที่วัดจันทึก อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา นี่คือหลักฐานที่พบในเมืองไทย ส่วนหลักฐานที่เจอนอกประเทศ เช่น หลักฐานที่เป็นบันทึกของพระภิกษุจีนจิ้นฮง ท่านไล่รียงชื่อดินแดนที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงมาทางใต้ของอินเดีย ว่ามีนามประเทศอะไรบ้าง ดินแดนอะไรบ้าง แต่ออกเสียงเป็นสำเนียงจีน ปรากฏว่าบ้านเมืองที่เขาเรียก “โถ โล โป ตี” มันอยู่ในจังหวะที่น่าจะอยู่ในพื้นที่ของประเทศไทยพอดี ฉะนั้น นักจารึกและผู้เชี่ยวชาญภาษาจีนโบราณเขาพยายามถอดเสียงว่าโถโลโปตี มันตรงกับอะไร ในที่สุดก็น่าจะเป็นทวารวดี ซึ่งสอดคล้องกับการเจอเหรียญเงินในประเทศไทย ฉะนั้น ทวารวดีอยู่ในเมืองไทยแน่ แต่ศูนย์กลางจะเป็นที่นครปฐมหรือบ้านเมืองอื่น เช่น อู่ทอง หรือบางคนบอกว่าลพบุรีไหม อันนี้เป็นข้อถกเถียงในเชิงรายละเอียด ส่วนความเห็นผม โดยส่วนต้วค่อนข้างให้น้ำหนักกับนครปฐมมากกว่าคนอื่น เพราะในเชิงความกว้างใหญ่ของเมือง ขนาดของโบราณสถาน ความหนาแน่นของโบราณวัตถุที่พบ นครปฐมมีมากกว่า
ทำไมต้องชื่อ “ทวารวดี”
ทวาราวดีแปลว่าอะไร? “ทวารวดี” เป็นชื่อเมือง มีปรากฏในพระไตรปิฎกส่วนที่เป็นพระสูตร แปลว่าเมืองที่ประกอบไปด้วยประตูและรั้ว และยังถือเป็น “นามมงคล” เพราะเป็นชื่อเมืองของพระกฤษณะด้วย ชื่อเมืองทวารวดี หรือ ทวารกา ฉะนั้น ชื่อเมืองต้นประวัติศาสตร์จะเอาชื่อบ้านเมืองในอินเดียมาตั้งเป็นชื่อบ้านเมืองตัวเองด้วย ไม่ได้หมายความว่ามีศูนย์กลางอยู่นอกประเทศไทย
ทำไมจึงว่าเป็นดินแดนแรกเริ่มพุทธศาสนา
ลักษณะของบ้านเมืองที่เจริญขึ้นในยุคต้นประวัติศาสตร์ของไทย เป็นช่วงแรกที่ดินแดนไทยเริ่มที่จะใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือสื่อสาร ทีนี้เมื่อทวารวดีรับเอาวัฒนธรรมจากอินเดียเข้ามาประสมประสาน ส่วนหนึ่งคือรับเอาตัวอักษรเข้ามาใช้ด้วย และพร้อมๆ กับที่เขาใช้ตัวอักษรนั้นสิ่งที่เขารับมาพร้อมกัน คือวัฒนธรรม อารยธรรมในมิติอื่นๆ เช่น ระบบการปกครอง สถาบันพระมหากษัตริย์ เรื่องของพิธีกรรมต่างๆ และที่ปฏิเสธไม่ได้คือเรื่องศาสนาพุทธ ดูเหมือนคนทวารวดี จะยอมรับนับถืออย่างค่อนข้างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับศาสนาพราหมณ์ จะเห็นว่าพุทธศาสนามีปริมาณความหนาแน่นที่มากกว่า ดังนั้น เราอาจบอกได้ว่าโดยภาพรวมโดยเฉพาะอย่างยิ่งนครปฐม คูบัว เมืองหลักๆ ของทวารวดี นับถือพุทธศาสนามากกว่า และถ้าอนุมานจากตัวโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่พบ มีความละม้ายคล้ายคลึงในทางรูปแบบกับศิลปอินเดียที่อยู่ร่วมสมัยกัน คือต่อเนื่องตั้งแต่คุปตะ มาหลังคุปตะ และต่อเนื่องด้วยปาละ แสดงให้เห็นเหมือนกันว่าพุทธศาสนาของทวารวดี น่าจะรับมาจากอินเดีย แต่ไม่ได้หมายความว่าศูนย์กลางพุทธศาสนาในบ้านเมืองอื่นจะไม่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นส่วนตัว ผมว่าศรีลังกาในยุคอนุราธปุระอาจมีประเด็นความสัมพันธ์กับทวารวดี มากกว่าที่เราเคยวิจัยกันมา มากกว่าความรู้ที่เรามีกันอยู่ปัจจุบัน น่าคิดอยู่
ก่อนหน้าทวารวดีไม่มีการเอ่ยถึงศาสนาใดๆ
ครับ คือก่อนหน้าทวารวดี เป็นยุคการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ บูชาผี ผู้ล่วงลับที่เชื่อว่าอาจให้คุณให้โทษเราได้ ผมเชื่อว่าวัฒนธรรมที่สืบทอดมามันต้องมีอยู่แน่ ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะทวารวดีบางเมืองเราเจอตุ๊กตาดินเผา ซึ่งแน่นอนว่าบางคนอาจมองว่าเป็นของเล่นได้ไหม ส่วนหนึ่งก็มองว่ามันคล้ายๆ “ตุ๊กตาเสียกบาล” ถ้าข้อสันนิษฐานนี้เป็นจริงก็คือ เป็นการอุทิศตุ๊กตานี้ให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอย่างที่จะมาทำร้ายทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วยหรือตาย ยังมีข้อน่าสังเกต ตุ๊กตาพวกนี้ตุ๊กตาเสียกบาลจะเป็นการปั้นดินเหนียวเฉพาะกิจ ปั้นแล้วก็จบกัน แล้วค่อยปั้นใหม่ แต่บางอันเช่น ตุ๊กตาจูงลิง ใช้แม่พิมพ์นะ ไม่ค่อยมีคนพูดกัน ใช้แม่พิมพ์ประกบ ซึ่งทำให้ผมมองว่าถ้าอันนี้เป็นตุ๊กตาเสียกบาลที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน แสดงว่าในอดีตมันน่าจะต้องเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการทำตุ๊กตาเสียกบาลจำนวนมากถึงขนาดที่ต้องใช้แม่พิมพ์ ผมเคยคุยเล่นๆ คนในอดีตสิ่งที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย คือโรคระบาดหรือที่เรียกกันว่าโรคห่า ฉะนั้น ตั้งข้อสังเกตได้ไหมว่าทวารวดีจะมีโรคระบาด ทำให้คนต้องมาร่วมกันทำพิธีปั้นตุ๊กตาเสียกบาลถึงขนาดต้องทำแม่พิมพ์ออกมา ซึ่งประเด็นนี้น่าสนใจ
จู่ๆ ทวารวดีก็หายไป?
จริงๆแล้วเหตุปัจจัยที่ทำให้บ้านเมืองหนึ่งถูกทิ้งร้างลง พูดในแง่พื้นที่เล็กๆ ก่อน อย่างบางเมืองที่ร้างผู้คนลงไปจากที่เคยเจริญมากๆ อาจมีหลายเหตุผล เช่น เกิดโรคระบาด หรือเคลื่อนย้ายไปหาแหล่งที่อุดมสมบูรณ์กว่าเดิม แต่ถ้าพูดถึงภาพกว้าง เช่น การหายไปของวัฒนธรรมทวรวดี เช่น การสร้างพุทธรูปหน้าตาแบบทวารวดี การสร้างธรรมจักร หรือการใช้ตัวอักษรแบบทวารวดีหายไป ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าหายไปพร้อมกับมีวัฒนธรรมอื่นเข้ามาแทนที่ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าวัฒนธรรมนั้นมาจากกัมพูชา ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 อยู่ดีๆ เราค้นพบว่าช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 พื้นที่ภาคกลางของไทยมันเหมือนมีวัฒนธรรมเขมรเข้ามาแทน เริ่มมีการสร้างพวกปราสาท มีจารึกของพระเจ้าสุริยวรมันขึ้นมา การที่พระองค์ท่านมีโองการ ทำให้เราสันนิษฐานว่าพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 เริ่่มมีอำนาจเหนือลพบุรีแล้ว กลางพุทธศตวรรษที่ 16 คือช่วงวัฒนธรรมทวารวดี ค่อยๆ หายไปจากลพบุรี พอมาดูบ้านเมืองอื่นๆ ในพื้นที่ภาคกลางก็พบว่า เอ้ย..มันก็ค่อยๆ หายไปเหมือนกัน เป็นวัฒนธรรมเขมรค่อยๆ เข้ามาแทนที่ พอมาถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ยิ่งเห็นได้ชัดว่าวัฒนธรรมเขมรเข้ามาค่อนข้างจะเต็มตัว
การวิจัยค้นคว้าเรื่องทวารวดียังมีต่อไป?
ที่จริงมันทีประเด็นที่เราจะค้นคว้าต่อได้ในเรื่องรายลัเอียด แต่เรื่องหลักๆ คล้ายๆมันจะหยุดแล้วล่ะ เริ่มเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษไหน หายไปศตวรรษไหน นับถือศาสนาใด นิกายไหน อันนี้ค่อนข้างจะอยู่ตัวแล้ว แต่สิ่งที่อาจเพิ่มเติมมาก็อยู่ที่หลักฐานที่พบใหม่ เช่น เจอเหรียญขึ้นมาใหม่ อาจเพิ่มเติมประเด็นการแพร่กระจาย เป็นต้น
ถ้าทวารวดีมีอายุร่วม 400 ปี ทำไมถึงมีกษัตริย์องค์เดียวที่เอ่ยถึง
อันนี้น่าสงสัยเหมือนกัน เพราะถ้าเทียบกับเพื่อนบ้าน เช่นในกัมพูชาที่เจริญขึ้นในช่วงระยะเวลาเดียวกัน เขามีชื่อกษัตริย์ ผู้ปกครองเพียบเลย แต่ทวารวดีเราขาดหลักฐาน มีอยู่ประมาณองค์สององค์ที่รู้จักชื่อ ผมคิดว่าส่วนหนึ่งชื่อกษัตริย์อาจไปอยู่ในหลักฐานที่ไม่ได้ถาวร เช่น พวกคัมภีร์ที่ทำจากใบลานหรือกระดาษ เลยทำให้เราขาดหลักฐาน ปัญหาหนึ่งของทวารวดีคือการเสื่อมสภาพของตัววัตถุ อายุพันปีมันต้องเสื่อมสภาพเป็นธรรมดา คนรุ่นนั้นเขาก็มองว่าสิ่งที่สร้างชั่วชีวิตเขามันแข็งแรงแล้ว ไม่คิดว่าจะต้องอยู่เป็นพันๆ ปี ก็แค่ชั่วชีวิตเขา เหมือนเราสร้างบ้าน คงไม่คิดว่าบ้านเราจะต้องอยู่ถึงพันปี แค่ในชั่วชีวิตเราเท่านั้น
ผู้เขียน : กรรณิการ์ ฉิมสร้อย
************************************************
มติชนอคาเดมีทัวร์
พลังศรัทธา พุทธศาสน์ งานช่าง
“ทวารวดี”
************************************************
การที่เราศึกษาเรื่องของทวารวดี ถ้ามองให้ลึก ไม่ใช่ในเชิงวิชาการ แต่ในเชิงของคนทั่วไป การที่ได้รู้ว่า “ทวารวดีคืออะไร” อย่างน้อยมันคือรากฐานของประเทศไทย แน่นอนว่าคนในยุคทวารวดี หลายคนในปัจจุบันอาจจะมองว่าเป็นคนมอญ แต่วัฒธรรมหลายอย่างได้สืบทอดมาถึงอยุธยา เช่น ลวดลายบางตัว อาทิ ลายประจำยาม ลายก้ามปู เป็นรากฐานมาตั้งแต่ทวารวดี ซึ่งช่วงนั้นอาจจะรับมาจากอินเดียอีกทอดหนึ่ง หรือการรับเอาวัฒนธรรมการนับถือพุทธศาสนาแบบเถรวาท ที่ใช้ภาษาบาลี หรือสร้อยนามของอยุธยา “กรุงเทพมหานครบวรทวารวดีศรีอยุธยา” อาจเป็นชื่อบ้านเมืองเดิมต่อเติมมาด้วย ดังนั้น ทวารวดีแม้จะอายุเป็นพันปีก็เป็นส่วนหนึ่งของรากฐานวัฒนธรรมไทยที่เราปฏิเสธไม่ได้
การไปทัวร์ครั้งนี้ จึงเลือกพื้นที่ค่อนข้างสำคัญของวัฒนธรรมทวารวดี คือ จ.นครปฐม และเมืองโบราณบ้านคูบัว จ.ราชบุรี ที่ จ.นครปฐม “เจดีย์พระประโทณ” สะท้อนประเพณีการสร้างเมืองสมัยนั้นว่าต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองเมือง ไม่ให้เกิดภยันตรายใดๆ ส่วน “พระปฐมเจดีย์” เรามองเห็นสิ่งก่อสร้างข้างนอกนั้นเป็นการสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 แต่ภายในที่ถูกเจดีย์ครอบไว้นั้นเป็นศิลปทวารวดี และที่ยืนยันชัดว่านครปฐมเป็นศูนย์กลางทวารวดีมาก่อน คือ “หลวงพ่อประทานพร” พระประธานในพระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ขุดพบในจอมปลวก ที่วัดทุ่งพระเมรุ ชาวบ้านอัญเชิญมาประดิษฐานที่นี่ นอกจากนี้ “หลวงพ่อขาว” พระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ ปางปฐมเทศนา ประทับนั่งห้อยพระบาท ศิลปะแบบทวารวดีแท้ๆ ว่ากันว่ามีเพียง 6 องค์ในโลกเท่านั้น ซึ่งอยู่ที่ประเทศไทยถึง 5 องค์
สำหรับ “เมืองโบราณบ้านคูบัว” จ.ราชบุรี แม้จะมีขนาดเล็กกว่านครปฐม แต่ถ้าเทียบกับเมืองอื่นก็ถือว่าไม่เล็ก เราจะเห็นเรื่องคติการสร้างบ้านเมือง คติภูเขาศักดิ์สิทธิ์ดัดแปลงให้เป็นศาสนสถาน บ้านคูบัวขุดพบหลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมาก และยังเห็นสถาปัตยกรรมโบราณที่ได้รับอิทธิพลจากช่างสมัยคุปตะ จะเห็นศิลปวัฒนธรรมที่ค่อนข้างสมบูรณ์
“พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี” เป็นอาคารกองบัญชาการรัฐบาลมณฑลราชบุรีมาก่อน สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ. 2416 ในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อใช้เป็นจวนที่พักของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 ต่อมาจึงใช้เป็นกองบัญชาการรัฐบาลมณฑลราชบุรี ในคราวแรกของการตั้งมณฑลราชบุรี แล้วจึงปรับปรุงให้เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี เพื่อจัดแสดงแหล่งประวัติศาสตร์ การสร้างบ้านแปลงเมืองในแต่ละยุคสมัย ร่องรอยของวัฒนธรรมทวารวดีที่พบในราชบุรี รวมถึงโบราณวัตถุที่สมบูรณ์งดงามของยุคทวารวดี
ในรั้วเดียวกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มี “อาคารทำเนียบสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)” ที่มาพำนักในช่วงบั้นปลายชีวิต ภายหลังที่ว่างจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในครั้งนั้นแล้ว เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบรรลุนิติภาวะและทรงเป็นกษัตริย์เต็มตัว สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงค์ จึงได้มาพำนักที่ราชบุรี ด้วยเหตุผลว่าอากาศดี และไกลจากปัญหาทางการเมือง