Tour Update : ทัวร์สนุกไปกับเรา

ทัวร์ บรรพชนคนริมโขง เยือนศิลป์ 4 วัฒนธรรม 2 แผ่นดิน

ทัวร์นี้สิ้นสุดแล้ว
วันที่ไปทัวร์ 17 ม.ค. 2563 - 19 ม.ค. 2563
จำนวนวัน 3
ติดต่อได้ที่

Tel : 0-2954-3977-84 ต่อ 2115, 2116, 2123, 2124

Mobile : 08-2993-9097, 08-2993-9105

เส้นทางท่องเที่ยว อุดรธานี-หนองคาย-ประเทศลาว
วิทยากร
รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ

18,500 บาท / คน

สอบถาม

ทัวร์ บรรพชนคนริมโขง เยือนศิลป์ 4 วัฒนธรรม 2 แผ่นดิน จ.อุดรธานี-หนองคาย-ประเทศลาว

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563

05.30 .    ลงทะเบียน พร้อมรับของที่ระลึกที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

07.25 .    ออกเดินทางสู่ จ.อุดรธานี ด้วยสายการบินไทยสมายล์

08.30 .    ถึง ท่าอากาศยานอุดรธานี จากนั้นนำสัมภาระของท่านขึ้นรถโค้ชปรับอากาศ ย้อนเวลาสู่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

10.00 .    ถึง อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาภูพาน ภายในปรากฏร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อราว 2,000 – 3,000 ปีมาแล้ว อีกทั้งยังมีการผูกความเชื่อกับนิทานพื้นบ้านเรื่องท้าวบารสนางอุสา เข้าชมโบราณสถานและจุดที่สำคัญ ดังนี้

  • หอนางอุสา ถือเป็นสัญลักษณ์ของอุทยานฯ มีลักษณะเป็นเพิงหินธรรมชาติขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายดอกเห็ด ตั้งอยู่กลางลานหินโล่งกว้างทำ สันนิษฐานว่าอาจมีอายุเก่าแก่ถึงวัฒนธรรมทวารวดี โดยถูกดัดแปลงเพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางพุทธศาสนา ด้านบนมีการก่อผนังด้วยก้อนหินทราย และสกัดเนื้อหินข้างในให้กลายเป็นห้องคูหา สันนิษฐานว่าด้านในอาจใช้เป็นที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธ์ หรือเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
  • วัดพ่อตา ชมหีบศพพ่อตา เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ถ้ำมือแดง เป็นเพิงหินธรรมชาติที่พบภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และร่องรอยการสกัดพื้นหินใต้เพิงให้เรียบ จึงสันนิษฐานว่าหีบศพพ่อตาน่าจะถูกใช้งานมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยประวัติศาสตร์ จากนั้นชมถ้ำช้าง ซึ่งเป็นเพิงหินที่มีภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นรูปเส้นหยัก และภาพเขียนสีสมัยประวัติศาสตร์รูปช้างในบริเวณใกล้กัน
  • ถ้ำพระ โบราณสถานแห่งนี้มีลักษณะเป็นเพิงหินเตี้ยๆ ที่ผนังใต้เพิงหินมีการสลักเป็นรูปพระพุทธรูปอยู่รอบด้าน ทั้งพระพุทธรูปขนาดใหญ่ปางสมาธิประทับนั่งอยู่ในซุ้มหน้าบัน, พระพุทธรูปยืนขนาดเล็กยืนเรียงกัน 6 องค์ และพระพุทธรูปปางต่างๆ เรียงรายอยู่ทั่วทั้งผนังของเพิงหิน ปัจจุบันเป็นที่น่าเสียดายว่าหินก้อนบนที่เป็นส่วนหลังคานั้นได้หักพังลงมา ทำให้ประติมากรรมหินสลักต่างๆ ชำรุดเสียหายไปมาก
  • กู่นางอุสา มีลักษณะเป็นเพิงหินธรรมชาติ มีการพบหลักฐานทางโบราณคดีที่ปรากฏอยู่ คือหลุมสกัดพื้นที่ใต้เพิงซึ่งน่าจะใช้ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพระพุทธรูปและใบเสมาหินที่ปักอยู่ทั้ง 8 ทิศ ทั้งยังพบหลุมเสากลมเรียงเป็นกรอบสี่เหลี่ยมล้อมรอบแนวใบเสมาอีกชั้นหนึ่ง ทำให้สันนิษฐานว่าที่นี่อาจเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม หรือเป็นที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยมีอายุอยู่ในวัฒนธรรมทวารวดี
  • วัดลูกเขย มีลักษณะเป็นเพิงหินธรรมชาติที่ถูกดัดแปลงใช้เป็นศาสนสถาน โดยมีการใช้ก้อนหินทรายสกัดก้อนสี่เหลี่ยมขัดเรียบมาก่อเป็นผนังห้องและช่องประตูหน้าต่าง สภาพวัดลูกเขยที่เห็นในปัจจุบันคือสภาพหลังการบูรณปฏิสังขรณ์แล้ว จากเทคนิคการก่อสร้างนี้สันนิษฐานได้ว่า น่าจะถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลาที่ช่างท้องถิ่นรู้จักเทคนิคการก่อสร้างด้วยหินเช่นเดียวกับการสร้างปราสาทหินแล้ว ซึ่งก็หมายถึงช่วงเวลาหลังจากวัฒนธรรมเขมรโบราณได้แพร่หลายเข้ามายังบริเวณภูพระบาทแล้วนั่นเอง

12.00 .    รับประทานอาหารกลางวัน ที่ร้าน ส.กุ้งเผา

13.00 .    เดินทางสู่ อ.เมือง จ.หนองคาย

14.00 .    ถึง วัดพระธาตุบังพวน ชมและสักการะพระธาตุบังพวน เจดีย์ทรงบัวเหลี่ยมในศิลปะล้านช้างที่ได้รับการบูรณะในรัชสมัยสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง ที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดของเมืองหนองคาย โดยถือเป็น 1 ใน 4 ของศาสนสถานที่มีตำนานการสร้างที่มีความสัมพันธ์กับอุรังคนิทานและองค์พระธาตุพนมอีกด้วย

15.00 .    เดินทางต่อไปยัง เวียงคุก

15.20 .    ถึง วัดเทพพลประดิษฐาราม เป็นวัดเก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 สมัยอาณาจักรล้านช้าง ชมพระธาตุ 2 องค์ ที่มีรูปทรงคล้ายคลึงกัน คือมีรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมกันระหว่างล้านนากับล้านช้าง พร้อมฟังเรื่องราวของเมืองเวียงคุก เมืองหน้าด่านสำคัญของนครเวียงจันทน์มาตั้งแต่ในอดีต

16.00 .    เดินทางไปยัง วัดสาวสุวรรณาราม

16.10 .    เข้าชม วัดสาวสุวรรณาราม นี้สันนิษฐานว่าแต่เดิมสร้างในสมัยสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง โดยพระองค์ได้มอบให้หมื่นกางโฮงนำบริวารอพยพมาจากร้อยเอ็ดมาตั้งบ้านเรือนขึ้นที่นี่แล้วให้สร้างวัดขึ้น 2 วัดชมพระวิหารซึ่งสร้างทับลงบนวิหารเก่ามีพระพุทธรูปประธานขนาดใหญ่ศิลปะแบบพื้นบ้านซึ่งน่าจะบูรณะขึ้นสมัยหลังเพราะยังมีเศียรพระพุทธรูปเดิมตามแบบศิลปะล้านช้างตกอยู่ด้านหลัง

16.40 .    เดินทางไปยัง สะพานมิตรภาพไทยลาว 1 (หนองคายเวียงจันทน์) สะพานข้ามแม่น้ำโขงขนาดใหญ่แห่งแรก ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นเดินทางสู่นครหลวงเวียงจันทน์

19.00 .    รับประทานอาหารเย็น ที่ร้านดอนจันหรือร้านเฟื่องฟ้า*

20.00 .    เข้าพักที่ Aaron Vientiane Hotel หรือเทียบเท่า**** จากนั้นพักผ่อนตามอัธยาศัย

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม 2563

07.00 .    รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารโรงแรม

08.30 .    ชม พระธาตุหลวง พระมหาธาตุเจดีย์สำคัญประจำนครหลวงเวียงจันทน์ซึ่งเป็นราชธานีแห่งที่ 2 ของอาณาจักรล้านช้างที่สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชทรงย้ายลงมาจากหลวงพระบางเมื่อ พ..2103 ปัจจุบันมีรูปแบบเป็นธาตุทรงบัวเหลี่ยมตามแบบศิลปะล้านช้าง บริเวณระเบียงคดรอบองค์พระธาตุมีโบราณวัตถุที่ได้จากภายในนครหลวงเวียงจันทน์และโดยรอบ เช่น พระพุทธรูปศิลปะทวารวดี และที่สำคัญคือพระพุทธรูปปางสมาธิซึ่งได้มาจากเมืองซายฟอง โดยพระพุทธรูปองค์นี้มีใบหน้าคล้ายกับประติมากรรมในสมัยบายน ทั้งยังมีนักวิชาการบางส่วนเชื่อว่านี่คือรูปฉลองพระองค์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อันเป็นสิ่งที่ยืนยันการขึ้นมาของอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรโบราณในลุ่มน้ำโขงช่วงพุทธศตวรรษที่ 18

11.00 .    เข้าชม วัดสีเมือง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.. 2106 ในรัชสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช และที่สำคัญคือวัดนี้เป็นที่ตั้งเสาหลักเมือง โดยมีตำนานที่กล่าวถึงผู้หญิงท้อง 3 เดือนอาสากระโดดลงไปในหลุม หลังจากนั้นมีการสร้างสิมครอบไว้ โดยปัจจุบันนี้เสาหลักเมืองหรือที่ชาวเวียงจันทน์เรียกว่าย่าแม่สีเมืองถูกตั้งอยู่ในตำแหน่งของพระประธานภายในสิม นอกจากนี้ด้านหลังของสิมยังมีซากปราสาทศิลาแลงในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ตั้งอยู่ด้วย

12.00 .    รับประทานอาหารกลางวัน ที่ภัตตาคารแม่โขง

13.00 .    เดินทางไปยัง หอพระแก้ว

13.20 .    ถึง หอพระแก้ว เดิมเป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต ซึ่งสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชทรงอัญเชิญมาจากเชียงใหม่ไปไว้ที่เมืองหลวงพระบางเมื่อราว พ.. 2090 จนกระทั่งเมื่อทรงย้ายราชธานีลงมายังเวียงจันทน์ก็ได้อัญเชิญลงมาพร้อมกัน ก่อนจะถูกเชิญลงมายังกรุงธนบุรีในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพไปปตีเวียงจันทน์ในรัชสมัยพระเจ้าสิริบุญสาร แต่เดิมหอพระแก้วคงมีลักษณะเป็นพุทธสถานในพระราชวังมาก่อน ปัจจุบันได้ใชเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาโบราณวัตถุสำคัญๆ เช่น ศิลาจารึกและพระพุทธรูปไว้จำนวนมาก

14.20 .    เดินทางไปยัง วัดสีสะเกด

14.30 .    ถึง วัดสีสะเกด เป็นวัดโบราณที่พระเจ้าอนุวงศ์ทรงปฏิสังขรณ์ในรัชกาลของพระองค์ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า วัดสัตตะสะหัสสาราม หรือวัดแสน มีรูปแบบงานช่างแบบรัตนโกสินทร์ ทั้งยังเป็นวัดที่ไม่ถูกทำลายในสงครามระหว่างกรุงเทพฯ กับเวียงจันทน์ จึงยังคงเหลือหลักฐานทางสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมฝาผนังให้เห็นอยู่จำนวนหนึ่ง อักทั้งระเบียงคดของวัดแห่งนี้ยังเป็นที่เก็บรักษาพระพุทธรูปศิลปะลาวจำนวนมากที่ได้มาจากวัดวาอารามที่ถูกทิ้งร้างในนครหลวงเวียงจันทน์

15.30 .    ชม ประตูไซ อนุสรณ์สถานเพื่อเป็นการสดุดีวีรชนผู้ร่วมรบเพื่อประกาศเอกราชจากประเทศฝรั่งเศส ปิดท้ายที่อนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ ชมฝั่งพานพร้าว ซึ่งเป็นอีกฝั่งหนึ่งของนครหลวงเวียงจันทน์ในอดีต พร้อมทั้งทัศนียภาพของแม่น้ำโขงในยามเย็น

16.30 .    เดินทางไปยัง สะพานมิตรภาพไทยลาว 1 (หนองคายเวียงจันทน์) สะพานข้ามแม่น้ำโขงขนาดใหญ่แห่งแรก ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นเดินทางสู่ตัวเมืองหนองคาย

19.00 .    รับประทานอาหารเย็น ที่สวนอาหารบ่อปลาวีเอส

20.00 .    เข้าพักที่ VANA Wellness Resort Nongkhai หรือเทียบเท่า**** จากนั้นพักผ่อนตามอัธยาศัย

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2563

07.00 .    รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารโรงแรม

08.00 .    เดินทางไปยัง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย

08.50 .    ถึง วัดศรีชมภูองค์ตื้อ สร้างเมื่อปี พ..2105 โดยสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช สักการะพระเจ้าองค์ตื้อพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ปางมารวิชัยศิลปะแบบล้านช้างซึ่งประดิษฐานภายในพระอุโบสถ

09.10 .    เดินทางสู่ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

09.30 .    เข้าชม วัดพระแก้ว (เดิม) ภายในหน่วยเรือรักษาความสงบตามลำแม่น้ำโขงเขตหนองคาย สังกัดกองทัพเรือ โดยเมื่อหลังเสร็จศึกคราวสงครามกรุงธนบุรีเวียงจันทน์ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้ที่นี่ ก่อนจะอัญเชิญไปประดิษฐานยังกรุงธนบุรี พร้อมฟังเรื่องราวของเมืองพรานพร้าว (ศรีเชียงใหม่) เมืองโบราณคู่ขนานกับนครหลวงเวียงจันทน์ที่มีความเก่าแก่มาตั้งแต่ยุควัฒนธรรมทวารวดี ทั้งยังสันนิษฐานว่าในฝั่งนี้เป็นที่ตั้งของวังหน้าของสมเด็จพระมหาอุปราชเวียงจันทน์อีกด้วย

10.20 .    ชม วัดธาตุดำ หรือธาตุคำ สร้างในสมัยเจ้าศิริบุญสารแห่งอาณาจักรล้านช้างต่อมามีการบูรณะโดยกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพ ทรงเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ 3 ซึ่งยกทัพมาปราบเวียงจันทน์ในปี พ.. 2369 และตั้งค่ายอยู่บริเวณด้านหลังวัด ด้านในเจดีย์ก่ออิฐถือปูนฐานล่างรูปแปดเหลี่ยมซ้อนกัน 7 ชั้น องค์ระฆังเป็นรูปแปดเหลี่ยมสอบขึ้นด้านบน ซึ่งมีตำนานว่าเจ้าพระยาจักรี (รัชกาลที่ 1) ได้ส่งสายลับไปทำลายกลองหมากแข้งวิเศษ ซึ่งเมื่อตีแล้วพญานาคออกมาช่วยเวียงจันทน์ ครั้นทำลายกลองแล้วได้สร้างเจดีย์ปิดทับรู พอเวียงจันทน์ซ่อมกลองเสร็จตีเรียกแต่พญานาคออกมาไม่ได้จึงพ่นพิษเป็นธาตุดำ

11.00 .    ชม โบราณสถานพระธาตุขาว หรือพระธาตุเงิน เป็นเจดีย์ก่ออิฐฐานล่างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีองค์ระฆังเป็นแบบบัวเหลี่ยมอิทธิพลศิลปะล้านช้าง โดยมีตำนานความเชื่อว่าพระธาตุองค์นี้สร้างครอบช่องประตูทางเข้าออกของรูพญานาคไว้

11.30 .    เดินทางกลับ ตัวเมืองหนองคาย

12.30 .    รับประทานอาหารกลางวัน ที่ร้านครัวแม่แป๊ด

13.30 .    เดินทางไปยัง วัดโพธิ์ชัย

13.40 .    ถึง วัดโพธิ์ชัย วัดคู่บ้านคู่เมืองของหนองคาย สักการะหลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปศิลปะแบบล้านช้าง พร้อมฟังตำนานการสร้างและการอัญเชิญพระพุทธรูป 3 พี่น้อง คือ พระสุก พระเสริม และพระใส จากนครเวียงจันท์มายังกรุงรัตนโกสินทร์

14.20 .    เดินทางไปยัง พระธาตุหนองคาย

14.30 .    ถึง พระธาตุหนองคาย หรือพระธาตุกลางน้ำ เดิมชื่อพระธาตุหล้าหนองเป็นพระธาตุที่หักพังอยู่กลางลำแม่น้ำโขง เป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุฝ่าพระบาทเก้าพระองค์ตามตำนานอุรังคธาตุ หรือตำนานพระธาตุพนมจากการสำรวจใต้น้ำของหน่วยโบราณคดีพบว่าองค์พระธาตุมีฐานกว้างด้านละ 17.2 เมตร ย่อมุมที่ฐานและมีความสูงประมาณ 28.5 เมตร หักออกเป็น 3 ท่อน สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 20–22 เนื่องจากมีรูปร่างคล้ายพระธาตุบังพวน

15.00 .    เดินทางไปยัง อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ

15.20 .    ถึง อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ เป็นอนุสาวรีย์เทิดทูนความดีของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วในการปราบฮ่อ ในปี ร.. 105 (.. 2429) เสด็จในกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม รับสั่งให้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ที่เมืองหนองคายเพื่อบรรจุอัฐิของผู้ที่เสียชีวิตในการปราบฮ่อ เดิมตั้งอยู่ที่หลังสถานีตำรวจภูธร จังหวัดหนองคาย ต่อมาในปี พ.. 2492 ทางจังหวัดหนองคายได้รับงบประมาณให้เสริมสร้างอนุสาวรีย์ปราบฮ่อให้สง่างามสมกับเป็นอนุสาวรีย์ของผู้ที่ได้เสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองให้เป็นศรีสง่าแก่เมืองหนองคายสืบไป จึงย้ายมาสร้างใหม่ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด มีคำจารึกที่อนุสาวรีย์ทั้ง 4 ทิศ ทั้งภาษาไทย จีน ลาวและอังกฤษ

16.00 .    แวะซื้อของฝากที่ตลาดท่าเสด็จ

17.00 .    เดินทางไปยัง จ.อุดรธานี

18.00 .   รับประทานอาหารเย็น ที่ร้าน VT แหนมเมือง

19.00 .   ถึง ท่าอากาศยานอุดรธานี เช็คอินตั๋วโดยสารของทุกท่านให้เรียบร้อย

20.55 .    เดินทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยสายการบินไทยสมายล์

22.00 .    ถึง ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพพร้อมความประทับใจ

*** กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงประโยชน์ของลูกค้าเป็นหลัก ***

*พักเดี่ยว จ่ายเพิ่ม 1,200 บาท