บรรพบุรุษ ‘ราชวงศ์จักรี’ มาจาก ‘โกษาปาน’ และ ‘สมเด็จพระนเรศ’

Culture ศิลปวัฒนธรรม
ซ้าย-พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขวา-โกษาปาน

“ราชวงศ์จักรี” เป็นราชวงศ์ที่ปกครองราชอาณาจักรสยามต่อจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งกรุงธนบุรี มาจนถึงปัจจุบัน โดย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (พระนามเดิม ทองด้วง ทรงสืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางในสมัยกรุงศรีอยุธยา) ทรงสถาปนาราชวงศ์ขึ้น โดยการปราบดาภิเษก เมื่อ พ.ศ. 2325 ยุคของราชวงศ์นี้เรียกว่า “ยุครัตนโกสินทร์”   สำหรับชื่อของราชวงศ์จักรีมาจากบรรดาศักดิ์ “เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์” ตำแหน่งสมุหนายก ซึ่งเป็นตำแหน่งทางราชการ ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เคยทรงดำรงมาก่อนในสมัยกรุงธนบุรี 

ว่ากันว่า คำว่า “จักรี” นี้ พ้องเสียงกับคำว่า “จักร” และ “ตรี” ซึ่งเป็นอาวุธของพระวิษณุ  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง “พระแสงจักร” และ “พระแสงตรี” ไว้ 1 สำรับ พร้อมกำหนดให้ใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์จักรีสืบมาจนถึงปัจจุบัน

ตามข้อเขียนใน “นิตยสารศิลปวัฒนธรรม” ของสำนักพิมพ์มติชน เขียนถึงเรื่องนี้ไว้ว่าตามขนบธรรมเนียมประเพณีราชสำนักสยามแต่โบราณ จะไม่นิยมกล่าวถึงพระราชประวัติก่อนการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าแผ่นดินแต่ละพระองค์ไว้เป็นหลักฐานอ้างอิง  ส่วนใหญ่มักปกปิดเป็นความลับ หรืออย่างดีก็แค่เพียงกล่าวไว้เป็นนัย ๆ พอเป็นที่รับรู้กันแต่วงใน ส่งผลให้พระราชประวัติของพระเจ้าแผ่นดินสยามแต่ละพระองค์ มีความลึกลับและมืดมน

กระทั่งมาถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4  นับเป็นพระเจ้าแผ่นดินสยามพระองค์แรก ที่ทรงยอมเปิดเผยถึงประวัติบรรพบุรุษต้นราชวงศ์จักรีไว้ในพระราชหัตถเลขา สำหรับพระราชทานแก่ “เซอร์จอห์น เบาริง” ราชทูตอังกฤษที่เดินทางเข้ามายังประเทศสยาม เพื่อขอแก้สนธิสัญญาเบาริงระหว่างสยามกับอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2398  โดยเซอร์จอห์น เบาริง ได้นำพระราชหัตถเลขาฉบับดังกล่าว มาตีพิมพ์ลงในหนังสือเรื่อง “ราชอาณาจักรและราษฎรสยาม” ชื่อภาษาอังกฤษ ว่า “The Kingdom and People of Siam”  ความว่า…

“กล่าวกันว่าต้นตระกูลทางฝ่ายท่านบิดาของเรา(รัชกาลที่ 4) เป็นชาวเมืองหันสวัตตี…อันเป็นเมืองหลวงของพะโค ที่สังฆราชปัลเลอกัวซ์ได้เขียนเลียนเสียงไปอย่างผิด ๆ หรือออกเสียงชื่อภาษาสันสกฤตว่า “หงสาวดี” ในสมัยนั้นกษัตริย์ที่ปกครองเมืองพะโคมีพระนามในภาษามอญว่า Jamna ti cho(อ่านว่า จอมแนยะห์เทห์จอห์ แปลว่า ผู้ชนะสิบทิศ)  และเรียกเป็นภาษาสันสกฤตว่า “ดุษฎีสาวิชัย”… คนในตระกูลเป็นเจ้าหน้าที่ของบ้านเมือง รับราชการเป็นทหารของกษัตริย์ผู้ทำสงครามชนะอยุธยา เมื่อประมาณคริสต์ศักราช 1552 (พ.ศ. 2095)  แล้วตั้งให้กษัตริย์ชาวสยามผู้ปกครองสยามตอนเหนือ ที่เป็นพันธมิตรของพระองค์ เป็นพระเจ้าแผ่นดินของสยามทั้งหมดที่อยุธยา มีพระนามว่า “พระมหาธรรมราชาธิราช”…ได้นำพระราชบุตรของพระเจ้ากรุงสยาม ไปเป็นตัวประกันที่เมืองพะโค…

…พระเจ้ากรุงสยามในขณะนั้น ทรงยินยอมจะเป็นเมืองขึ้นของพะโค  พระโอรสที่ได้ติดตามมีพระนามว่า พระนเรศร…ผู้ประทับหรือเสด็จอยู่ในเมืองพะโคตลอดพระชนม์ชีพหรือตลอดรัชกาลของกษัตริย์มอญผู้พิชิต เมื่อกษัตริย์เสด็จสวรรคต พระนเรศรทรงพบเห็นบ้านเมืองพะโคตกอยู่ในความยุ่งยากที่จะเลือกผู้สืบทอดราชสมบัตินานถึงครึ่งเดือน  จึงทรงชักชวน

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่4
โกษาปาน
พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช อ.เกาะคา จ.ลำปาง ภาพจากศิลปวัฒนธรรม

บรรดาครัวมอญที่จงรักภักดีต่อพระองค์ให้ติดตามมา ทรงหนีกลับมาสู่แผ่นดินเกิดของพระองค์ในสยามด้วยเหตุนั้น และทรงประกาศตนเป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับกรุงหงสาวดีอีกต่อไป  ในตอนนี้คนในตระกูลที่รับราชการเป็นทหารของพระเจ้ากรุงหงสาวดีได้ติดตามมากับสมเด็จพระนเรศรด้วย แล้วตั้งหลักแหล่งอยู่ในอยุธยา…

…หลังจากรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศร  เรื่องราวของตระกูลนี้ได้ขาดหายไปจากการรับรู้ของพวกเรา จนกระทั่งถึงแผ่นดินสมเด็จพระนารายู(พระนารายณ์)  ทรงปกครองอยุธยาและละโว้ เมื่อประมาณคริสต์ศักราช 1656-82 (พ.ศ. 2199-2225 ) ในรัชสมัยของกษัตริย์พระองค์นี้(พระนารายณ์)   สองพี่น้อง(ออกญาโกษาธิบดีเหล็กและปาน) ผู้เป็นอภิชาตบุตรที่ได้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลดังกล่าว เป็นที่โปรดปรานที่สุดของพระเจ้าแผ่นดิน จึงได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้คนผู้พี่เป็นที่ “เจ้าพระยาคลัง”  เป็นใหญ่ในเรื่องการต่างประเทศ  ผู้ต้อนรับคณะทูตฝรั่งเศสซึ่งเดินทางมายังสยามในช่วงเวลานั้น 

และโปรดเกล้าฯ ให้น้องชายของท่านเจ้าพระยาพระคลังชื่อว่า “ปาล” (ออกพระวิสุทธสุนทร-ปาน)  ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะทูตสยามไปเยือนฝรั่งเศส เพื่อตอบแทนมิตรภาพของรัฐบาลฝรั่งเศส แต่ว่าเรือได้แตกที่แหลมกู๊ดโฮป ที่ซึ่งราชทูตและคณะติดค้างอยู่เป็นเวลานานพอสมควร และต่อมาภายหลังได้เดินทางต่อไปจนถึงฝรั่งเศส ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากรัฐบาลฝรั่งเศสขณะนั้น และได้เดินทางกลับสู่ประเทศสยาม พอดีกับผู้เป็นพี่ได้ถึงแก่อนิจกรรม สมเด็จพระนารายูจึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเขา (นายปาล) ในที่ทำการของผู้เป็นพี่ชาย คือ “เจ้าพระยาคลัง” เสนาบดีการต่างประเทศ…

…กล่าวกันว่าบุพการีของพวกเราสืบสายเลือดต่อลงมาจากท่านผู้เป็นอภิชาตบุตรนี้เอง แต่ว่าที่ทำการและงานราชการของพวกเขามิได้สืบทอดกันในชั่วอายุคนอยู่ 2-3 รัชสมัยของกษัตริย์สยามที่ครองราชย์สืบต่อจากสมเด็จพระนารายู  จนกระทั่งถึงแผ่นดินของพระภูมินทราชาธิราช(พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ)  ผู้ได้ปกครองแผ่นดินสยามตั้งแต่คริสต์ศักราช 1706-32(พ.ศ. 2249-75)  ในสมัยนั้น ต้นตระกูลผู้เป็นบิดา(สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก-ทองดี) ของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรก(พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก-รัชกาลที่ 1)  และเป็นปู่ของพระราชบิดา(พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย-รัชกาลที่ 2) ในพระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบันคือตัวข้าพเจ้า(พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว-รัชกาลที่ 4)  กับพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อน(พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว-รัชกาลที่ 3) พระเชษฐาผู้ทรงล่วงไปแล้วของข้าพเจ้าแห่งสยาม เป็นอภิชาตบุตรของตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากเสนาบดีต่างประเทศที่ได้กล่าวมาแล้ว

ท่านได้ย้ายหลักแหล่งจากอยุธยามาเพื่อความสุขของชีวิต  และตั้งบ้านเรือนที่ “สะกุตรัง”(Sakutrang) เป็นท่าเรือบนลำน้ำสายเล็กอันเป็นสาขาของแม่น้ำใหญ่ ตรงรอยต่อของราชอาณาจักรสยามตอนเหนือกับตอนใต้ ที่ประมาณละติจูด 13 องศา 15 ลิปดา 30 พิลิปดา เหนือขึ้นไปเล็กน้อย กับลองติจูดที่ 90 องศา 90 ลิปดาตะวันออก  ท่านผู้เป็นอภิชาตบุตรคนดังกล่าวได้ถือกำเนิดขึ้นที่นั่น และได้กลายเป็นผู้มีความชำนาญและมีความรู้ความสามารถในทางราชการ ท่านได้ออกจาก “สะเกตรัง” (Saketrang)ไปยังอยุธยา  ที่ซึ่งได้รับคำแนะนำให้เข้ารับราชการและได้สมรสกับธิดารูปงามของครอบครัวคหบดีจีนที่ร่ำรวยที่สุด ในย่านที่อยู่อาศัยของชาวจีน  ภายในกำแพงเมืองตรงมุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ของอยุธยา และได้กลายเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าแผ่นดิน… และได้รับแต่งตั้งให้เป็นอาลักษณ์ทำหน้าที่ออกหนังสือโต้ตอบสื่อสารถึงเมืองปากเหนือ (คือทุกเมืองหรือแคว้นในภาคเหนือ ทั้งที่เป็นอิสระและเป็นเมืองขึ้นของสยาม) และเป็นผู้รักษาพระราชลัญจกร เฉพาะในประการหลัง ทำให้มีราชทินนามเป็น “พระอักษรสุนทรเสมียนตรา”

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสถึงเรื่องบรรพบุรุษต้นราชวงศ์จักรี ว่าสืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางมอญเมืองหงสาวดี (พะโค) ซึ่งตามเสด็จสมเด็จพระนเรศ เข้ามารับราชการอยู่ยังกรุงพระมหานครศรีอยุทธยาในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ที่ 1(ขุนพิเรนทรเทพ ครองราชย์ พ.ศ. 2112-33)

เมื่อนำเค้าโครงเรื่องขุนนางมอญผู้เป็นบรรพบุรุษต้นราชวงศ์จักรีมาสอบกับพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาแล้ว เข้าใจว่าเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ระหว่าง “พระญาเกียรติ” และ “พระญาพระราม”  พระราชพงศาวดารฯ ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด)  ซึ่งเป็นต้นแบบพิมพ์เขียวของพระราชพงศาวดารฯ ฉบับความพิสดาร  ซึ่งสอบชำระในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อคราวพระญาเกียรติกับพระญาพระรามตัดสินใจอพยพหนีราชภัย จากพระเจ้าหงสาวดีเซงพยูงาซีเชง (พระเจ้านันดาบาเยง ครองราชย์ พ.ศ. 2124-42) โดยเสด็จสมเด็จพระนเรศเข้ามารับราชการอยู่ยังพระนครศรีอยุทธยา หลังจากที่พระองค์ทรงประกาศอิสรภาพ ตัดขาดทางพระราชไมตรีกับกรุงหงสาวดีเมื่อ พ.ศ. 2127

แม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะมิได้ทรงกล่าวไว้ในพระราชหัตถเลขา ว่า “ขุนนางมอญ” ท่านใด ระหว่างพระญาเกียรติกับพระญาพระรามที่เป็นบรรพบุรุษต้นราชวงศ์จักรี แต่ หม่อมหลวงมานิจ ชุมสาย ได้ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในหนังสือเรื่อง “ประวัติโกษาปานและบันทึกการเดินทางไปฝรั่งเศส”  โดยอ้างอิงมาจากสมุดจดบันทึกประจำวันของบรรพบุรุษที่ตกทอดมาถึงตัวท่าน ว่า…

วัดดุสิตาราม จ.พระนครศรีอยุธยา ภาพจากศิลปวัฒนธรรม

“พวกสกุลชุมสาย สืบเชื้อสายมาจากพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรพบุรุษคนแรก คือพระยาเกียรติ แม่ทัพมอญ ได้ติดตามสมเด็จพระนเรศวร มารับราชการอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา ลูกหลานคนหนึ่งของพระยาเกียรติได้แต่งงานกับเจ้าแม่ดุสิต สตรีผู้สูงศักดิ์แห่งราชสำนัก  เจ้าแม่ดุสิตเคยเป็นแม่เลี้ยงและแม่นมของสมเด็จพระนารายณ์มาก่อน ทั้งนี้ เพราะพระราชมารดาของพระองค์เองสิ้นพระชนม์ตั้งแต่พระนารายณ์มีพระชันษาได้เพียง 7 เดือน เจ้าแม่ดุสิตจึงถวายการเลี้ยงดูพระองค์มาพร้อมกับบุตรของนางเอง สมเด็จพระนารายณ์ทรงเรียกนางว่า เจ้าแม่ดุสิต  ชื่อจริงของนาง คือ บัว เดิมอาศัยอยู่ใกล้วัดดุสิต ตรงคลองข้าวสาร  จึงได้เรียกกันมาว่า เจ้าแม่ดุสิต”

ข้าพเจ้าเข้าใจ ว่านอกจากพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมุดจดบันทึกประจำวันของบรรพบุรุษของหม่อมหลวงมานิจ ชุมสาย จะอาศัยข้อมูลจากการบอกเล่าภายในราชสำนัก ทำนองพงศาวดารกระซิบแล้ว  สันนิษฐานว่า ข้อมูลบางเรื่องอ้างอิงมาจากหนังสือเรื่อง “ปฐมวงศ์” ฉบับของ ก.ศ.ร.กุหลาบ สันนิษฐานว่าเป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ ได้ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับพระประวัติของเจ้าแม่วัดดุสิต ว่า…

“…เริ่มความในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระศรีสรรเพชญ บรมราชาธิราชปราสาททอง ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ 25 ในกรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดีศรีอยุทธยา ปรากฏเป็นข้อต้น พระเจ้าปราสาททองมีพระราชโอรสกับพระราชเทพีพระองค์หนึ่ง เป็นพระราชกุมารทรงพระนาม ว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้านารายณ์ราชกุมาร  ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นพระราชบิดา จึ่งพระราชทานพระนมนางองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นหม่อมเจ้าหญิงในราชนิกูลพระเจ้าแผ่นดิน พระราชทานให้เป็นพระนมของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้านารายณ์ราชกุมาร เป็นพระนมเอกนั้น ไว้ทรงอภิบาลทะนุบำรุงเจ้าฟ้านารายณ์มาแต่ทรงพระเยาว์จนทรงพระเจริญ เป็นทั้งพระพี่เลี้ยงแลพระนมด้วย พระราชชนนีของพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้านารายณ์ราชกุมารนั้น ทิวงคตแต่เมื่อประสูติได้เก้าวัน เพราะเหตุนั้นสมเด็จพระนารายณ์จึ่งได้ทรงรักใคร่นับถือเหมือนพระราชมารดา

ครั้นเมื่อสมเด็จเจ้าฟ้านารายณ์ ได้เสด็จขึ้นเถลิงสิริราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดิน…ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระบรมราชา รามาธิบดีศรีสรรเพชญ พระนารายณ์เป็นเจ้าๆ จึ่งทรงตั้งหม่อมเจ้าพระนมนางขึ้นเป็นพระองค์เจ้า แล้วทรงสร้างวัง มีตำหนักตึกที่ริมวัดดุสิดาราม นอกกำแพงพระนคร ถวายพระองค์เจ้าพระนมนางให้เสด็จประทับเป็นที่สำราญพระทัย ครั้งนั้นคนเรียกว่า เจ้าแม่วัดดุสิต ตามที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงเรียกว่า เจ้าแม่วัดดุสิต  มีบุตรมาแต่เดิมนั้น 2 คน เป็นชาย คนใหญ่ชื่อคุณเหล็ก คนที่ 2 ชื่อคุณปาล

ครั้งนั้นสมเด็จพระนารายณ์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งคุณเหล็กให้เป็นเจ้าพระยาโกษาธิบดีที่พระคลัง เสนาบดีผู้ว่าราชการในกรมท่า  แล้วได้ว่าที่สมุหพระกระลาโหมด้วย  เมื่อเจ้าพระยาโกษาเหล็กถึงแก่อสัญกรรมแล้ว พระเจ้าแผ่นดินจึ่งโปรดฯ ตั้งคุณปาลผู้น้อง เป็นเจ้าพระยาโกษาธิบดีที่พระคลัง ท่านเจ้าพระยาโกษาทั้ง 2 นั้น เป็นเชื้อสายสืบเนื่องมาจากราชนิกูล  เจ้าพระยาโกษาปาลถึงแก่อสัญกรรมในแผ่นดินพระนารายณ์จวนจะสวรรคตอยู่แล้ว

ข้าพเจ้าเข้าใจว่าสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส  คงทรงพระนิพนธ์หนังสือเรื่อง ปฐมวงศ์ ตามรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำหรับใช้เป็นข้อมูลในการพระราชนิพนธ์เรื่องบรรพบุรุษต้นราชวงศ์จักรี เพื่อพระราชทานแก่เซอร์จอห์น เบาริง  สมุดจดบันทึกประจำวันของบรรพบุรุษของหม่อมหลวงมานิจ ชุมสาย จดพระนามเดิมของเจ้าแม่วัดดุสิตไว้ว่า หม่อมเจ้าบัว แต่หนังสือเรื่อง อิศรางกูร พิมพ์ในงานฌาปนกิจ หม่อมหลวงปุย อิศรางกูร เมื่อ พ.ศ. 2517 ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า…

“…เจ้าแม่วัดดุสิตจะมีนามว่ากระไรแน่นั้น หลักฐานกล่าวไว้ไม่ตรงกัน บางแห่งกล่าวว่าชื่อ หม่อมเจ้าหญิงบัว มีเชื้อสายพระร่วงสุโขทัย บางหลักฐานก็กล่าวว่าชื่อหม่อมเจ้าหญิงอำไพ ราชธิดาของสมเด็จพระเอกาทศรถ  หนังสือเรื่องอิศรางกูร ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ ว่าเจ้าแม่วัดดุสิตทรงเป็นพระธิดาในสมเด็จเอกาทศรุทรอิศวร พระองค์ที่ 1(พระราเมศวร ครองราชย์ พ.ศ. 2148-53) สอดคล้องกับหนังสือเรื่อง ปฐมวงศ์  ฉบับของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ที่ว่าเจ้าแม่วัดดุสิตทรงเป็น หม่อมเจ้าหญิงในราชนิกูลพระเจ้าแผ่นดิน  อันเป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จเอกาทศรุทรอิศวร พระองค์ที่ 3 พระเจ้าปราสาททอง  เจ้าแม่วัดดุสิตได้วิวาหมงคลกับลูกหลานคนหนึ่งของพระยาเกียรติ ขุนนางมอญ โดยบันทึกต้องสงสัยอย่างพงศาวดารไทย จดหมายเหตุเจ้าแม่วัดดุสิต ในสมัยกรุงศรีอยุทธยา ระบุว่า พระเจ้าแม่วัดดุสิตหรือหม่อมเจ้าบัว ทรงอภิเษกสมรสกับ หม่อมเจ้าอำไพ ซึ่งไม่ทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระราชวงศ์สายใด

ต่อมาเจ้าแม่วัดดุสิตได้ถวายตัวเป็นพระนมเอกในสมเด็จพระนารายณ์ สอดคล้องกับข้อเท็จจริงจากหนังสือเรื่อง “โครงกระดูกในตู้” ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งคัดมาจากหนังสือเรื่อง “ราชินิกุลบางช้าง” พิมพ์แจกในงานฉลองพระราชสมภพครบ 200 ปี ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ความว่า… “…แรกเริ่มเดิมที ท่าน(พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ) เกิดมาในตระกูลขุนนางในกรุงศรีอยุธยา ตระกูลของท่านเป็นตระกูลขุนนางสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน นับแต่เจ้าพระยาโกศาปาน นักรบและนักการทูต ผู้มีชื่อเสียงในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  เจ้าพระยาโกศาปานเป็นบุตรเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งเป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์ เจ้าแม่วัดดุสิตมีศักดิ์เป็นหม่อมเจ้าในราชวงศ์พระมหาธรรมราชา ซึ่งสืบเชื้อสายมาแต่ราชวงศ์พระร่วงสุโขทัย…”

ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าหนังสือเรื่อง ราชินิกุลบางช้าง, อิศรางกูร และ โครงกระดูกในตู้ ได้ให้ข้อมูลเชิงลึก ว่าเจ้าแม่วัดดุสิตทรงสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์สุโขทัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ที่ 1(ขุนพิเรนทรเทพ) โดยพระบิดาของพระองค์ ทรงเป็นพระราชวงศ์พระร่วงเมืองสุโขทัย

สำหรับข้าพเจ้าเห็นว่าข้อเท็จจริงเรื่องเจ้าแม่วัดดุสิต ทรงสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ราชวงศ์สุโขทัยนั้น  ดูมีเงื่อนเค้าความจริงอยู่บ้าง ไม่ว่าพระองค์จะทรงเป็นพระธิดาในพระบาทสมเด็จเอกาทศรุทรอิศวร พระองค์ที่ 1 (พระราเมศวร) หรือเจ้าราชนิกุลในพระเจ้าปราสาททอง เพราะแท้ที่จริงพระเจ้าปราสาททอง ทรงเป็น “โอรสลับ” ของสมเด็จพระนเรศ  อันประสูติแต่ “นางอิน” หญิงชาวบ้าน   ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้ เจ้าแม่วัดดุสิต จึงนับเนื่องอยู่ในราชวงศ์สุโขทัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ที่ 1  ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์พระร่วงเมืองสุโขทัยอีกทีหนึ่ง  แม้ว่าหนังสือเรื่อง อิศรางกูร จะให้ข้อมูลสำคัญ ว่าเจ้าแม่วัดดุสิตทรงเป็นพระธิดาในพระบาทสมเด็จพระราเมศวร)  แต่ก็เป็นเพียงคำบอกเล่าสืบต่อกันมาภายในวงศ์ตระกูล เยี่ยงนิทานปรัมปรา  หาได้มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรยืนยันถึงความถูกต้องในเรื่องนี้

ข้าพเจ้าจึงทำได้แค่เพียงตั้งสมมุติฐาน ว่าเจ้าแม่วัดดุสิตอาจเป็นพระราชนัดดาหรือพระธิดา อันประสูติแต่พระสนมของพระเจ้าแผ่นดินศรีอยุทธยาองค์ใดองค์หนึ่ง ในสมัยศรีอยุทธยาตอนต้น (พ.ศ. 2112-2310)  จึงมีพระอิสริยศักดิ์เป็นเพียง “หม่อมเจ้า” เท่านั้น  แม้ข้าพเจ้าจะยังไม่อาจสืบหาความจริงในเรื่องนี้ได้ แต่ด้วยความที่เจ้าแม่วัดดุสิตทรงเป็นเจ้าราชนิกุลชั้นปลายแถว ก็ไม่น่าแปลกอะไรที่พระองค์จะทรงวิวาหมงคลกับลูกหลานของพระญาเกียรติขุนนางเชื้อสายมอญ

พระราชพงศาวดารฯ ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) ระบุว่าเมื่อพระราชเทวีสิ้นพระชนม์  หลังจากมีพระประสูติกาลพระนารายณ์ราชกุมารแล้ว  พระเจ้าปราสาททองโปรดให้เจ้าแม่วัดดุสิตเป็น “พระนมเอก” คอยอภิบาลเลี้ยงดูพระนารายณ์ราชกุมาร ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  แต่พึงสังเกตว่า สมุดจดบันทึกประจำวันของบรรพบุรุษของหม่อมหลวงมานิจ ชุมสาย ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ ว่า เจ้าแม่วัดดุสิตทรงเป็น “แม่เลี้ยง” และ  “พระนม” ของสมเด็จพระพระนารายณ์

ศาลเจ้าแม่วัดดุสิต

ข้าพเจ้ารู้สึกติดใจในเรื่องที่เจ้าแม่วัดดุสิตทรงเป็น “แม่เลี้ยง” ของสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งพระราชพงศาวดารฯ ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) กล่าวถึงเรื่องที่พระองค์ตรัสเรียกเจ้าแม่วัดดุสิตว่า “พระมารดา”  ไว้ในเหตุการณ์เมื่อคราวออกหลวงสรศักดิ์(เดื่อ) ซึ่งเป็น “โอรสลับ” ของสมเด็จพระนารายณ์  อันประสูติแต่เจ้าหญิงเชียงใหม่  ลุแก่โทษะชกปากออกญาวิไชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) อัครมหาเสนาบดีสมุนายก จนฟันหัก ขณะกำลังนั่งว่าราชการในพระราชวังเมืองลพบุรี  แล้วหลบหนีลงมายังพระนครศรีอยุทธยา เพื่อทูลเชิญเจ้าแม่วัดดุสิตเสด็จขึ้นไปช่วยทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้กับตน  พระราชพงศาวดารฯ ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว) บันทึกว่า…

สมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ตรัสทราบเหตุดังนั้นแล้ว ก็มีพระราชโองการให้หาหลวงสรศักดิ์มาเฝ้า แล้วก็ดำรัสบริภาษเป็นอันมาก และเจ้าแม่ผู้เฒ่ากราบทูลขอพระราชทานโทษ ก็ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานให้ แล้วตรัสบอกประพฤติเหตุทั้งปวง อันหลวงสรศักดิ์ทำแก่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์นั้น ให้แก่เจ้าแม่ผู้เฒ่าฟังทราบทุกประการ  แล้วดำรัสให้ยับยั้งอยู่ ณ พระราชวังสองสามวัน และทรงปฏิบัติด้วยเคารพเป็นอันดี แล้วก็อัญเชิญเสด็จกลับลงไปยังกรุงเทพมหานคร

เมื่อสมเด็จพระนารายณ์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติใน พ.ศ. 2199  ก็โปรดให้สถาปนาพระอิสริยยศหม่อมเจ้าหญิงบัว (บางแห่งว่า หม่อมเจ้าหญิงอำไพ) พระนมเอกขึ้นเป็น “พระองค์เจ้าบัว”  แล้วมีรับสั่งให้สร้างพระตำหนักตึกที่ริมวัดดุสิตารามทางฝั่งตะวันออกนอกกำแพงพระนครตรงคลองข้าวสาร เพื่อถวายให้เป็นที่ประทับสำราญพระทัย คนทั่วไปจึงนิยมเรียกพระองค์ว่า  “เจ้าแม่วัดดุสิต” ตามคำตรัสเรียกของสมเด็จพระนารายณ์

แม้การที่สมเด็จพระนารายณ์ตรัสเรียกเจ้าแม่วัดดุสิตว่า “พระมารดา”  จะดูเป็นเรื่องปรกติในสังคมไทย ที่มักเรียก “แม่นม”  ของตนว่า “แม่” ด้วยเช่นกัน  ดังพบหลักฐานสนับสนุนเรื่องนี้ในจดหมายเหตุ เอนเยลเบิร์ต แกมป์เฟอร์ (Engelbert Kaempfer) นายแพทย์ชาวเยอรมันประจำคณะทูตของบริษัทอิสต์อินเดีย ของฮอลันดาที่เมืองปัตตาเวีย เดินทางเข้ามาเจริญพระราชไมตรียังราชสำนักสยามใน พ.ศ. 2233  กล่าวว่า  “…ชาวสยามเรียกแม่นมของตน ว่า แม่ ด้วยเหมือนกัน และผู้ที่ได้ร่วมนมกันก็นับถือกันเหมือนอย่างพี่น้อง…”

พระราชพงศาวดารฯ ฉบับความพิสดาร ระบุว่า เจ้าแม่วัดดุสิตทรงมีบุตร 2 คนด้วยกัน คือ ออกญาโกษาธิบดี (เหล็ก) และ ออกญาโกษาธิบดี (ปาน) จดหมายเหตุอังกฤษรายงานเรื่องการปฏิวัติครั้งใหญ่ที่ล่วงมาแล้วในกรุงสยามและการขับไล่ฝรั่งเศสออกนอกประเทศ  เรียกออกญาโกษาธิบดี (ปาน) ว่า “หม่อมปาน”  เช่นเดียวกับ “หม่อมแก้ว”  พระโอรสในสมเด็จพระนารายณ์  อันประสูติแต่ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์  พระสนมเอก  ซึ่งเป็นน้องสาวของออกพระเพทราชา เจ้ากรมคชบาล  แสดงว่าพระอิสริยศักดิ์ “หม่อม” ในสมัยศรีอยุทธยา มีฐานะเทียบเท่า “หม่อมเจ้า” ในปัจจุบัน   ส่วน “หม่อมราชวงศ์”  และ “หม่อมหลวง”  เพิ่งบัญญัติขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้เอง

ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า “หม่อมปาน” อาจมิได้เป็นเพียงแต่บุตรลูกหลานขุนนางมอญธรรมดาสามัญ แต่ท่านอาจเป็นถึงพระโอรสของพระเจ้าแผ่นดินศรีอยุทธยาองค์ใดองค์หนึ่ง จึงสันนิษฐานว่าเจ้าแม่วัดดุสิต อาจเคยถวายตัวเป็นบาทบริจาริกา ในพระบาทสมเด็จเอกาทศรุทรอิศวร ที่ 3 (พระเจ้าปราสาททอง) มาก่อน  ด้วยเหตุนี้ ออกญาโกษาธิบดี (เหล็ก) และออกญาโกษาธิบดี (ปาน) อาจเป็นพระโอรสในพระเจ้าปราสาททอง ด้วยก็เป็นได้  ท่านทั้งสองจึงนับเนื่องอยู่ในราชสกุลวงศ์กษัตริย์ศรีอยุทธยา

เจ้าแม่วัดดุสิตประทับอยู่ที่พระตำหนักข้างวัดดุสิตารามตราบจนกระทั่งถึงแก่พิราลัย ในราวเดือนเมษายน พ.ศ. 2232 ก่อนสิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ประมาณ 3 เดือน  ดังจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์ กล่าวพาดพิงถึงเรื่องการพิราลัยของเจ้าแม่วัดดุสิต พระมารดาของออกญาโกษาธิบดี (ปาน) ไว้ในต้นรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดี ที่ 7 (ออกพระเพทราชา) เมื่อ พ.ศ. 2233  ว่า  “…วันที่ 12 มิถุนายน (พ.ศ. 2233-ผู้เขียน)  เวลา 16 นาฬิกา มีงานศพมารดาของพระยาพระคลัง ผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีของประเทศสยาม และเป็นผู้ว่าการต่างประเทศด้วย… งานศพนี้เป็นแต่ศพแม่นมพระคลังเท่านั้น ด้วยว่ามารดาของท่านได้สิ้นชีวิต และได้ทำศพเสร็จไปเมื่อราว 15 เดือนมานี้…”

ส่วนจดหมายบาทหลวงโบด(Braud) ที่มีไปถึงคณะอำนวยการ ยังประเทศฝรั่งเศส เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2243 ได้ให้ข้อมูลสำคัญ ว่า ออกญาโกษาธิบดี (ปาน) มีบุตรธิดารวม 4 คน โดยบุตรคนโตเป็นผู้หญิง ส่วนอีก 3 คนที่เหลือเป็นผู้ชาย หนังสือเรื่อง “อภินิหารบรรพบุรุษ”  ระบุว่า “ขุนทอง” (สมุดจดบันทึกประจำวันของบรรพบุรุษของหม่อมหลวงมานิจ ชุมสาย ว่า “คุณทอง”)  เป็นบุตรชายคนโตของออกญาโกษาธิบดี (ปาน) ได้ถวายตัวเข้ารับราชการในกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระญาสุรศักดิ์ ในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 7 (ออกพระเพทราชา) โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอัษฎาเรืองเดช จางวางกรมพระตำรวจ  ส่วนออกญาโกษาธิบดี (ปาน) ผู้บิดา ได้ถึงแก่อสัญกรรมในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2243

ครั้นพระญาสุรศักดิ์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระสุรศักดิ์(พระเจ้าเสือ) แล้ว  ความที่พระยาอัษฎาเรืองเดช (ขุนทอง) มีฐานะเป็นเจ้าราชนิกุลและข้าหลวงเดิม จึงโปรดพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาวรวงศาธิราช เสนาบดีพระคลัง (สมุดจดบันทึกประจำวันของบรรพบุรุษของหม่อมหลวงมานิจ ชุมสาย ระบุว่าก่อนหน้านี้ท่านขุนทองมีตำแหน่งเป็นพระยากลาโหม ภายหลังจึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพระยาวรวงศาธิราช เสนาบดีการต่างประเทศ)

เจ้าพระยาวรวงศาธิราช(ขุนทอง)  มีบุตรชายคนโตนามว่า “ทองคำ” ถวายตัวเข้ารับราชการเป็นพระนายจมื่นมหาสนิท หัวหมื่นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพร  กรมพระราชวังบวรสถานมงคล  ในแผ่นดินสมเด็จพระสุรศักดิ์ หรือพระเจ้าเสือ”

ต่อมา พระนายจมื่นมหาสนิท(ทองคำ)  อพยพครอบครัวย้ายไปทำราชการอยู่ที่บ้านสะแกกรัง แขวงเมืองอุทัยธานี  ระหว่างที่พระนายจมื่นมหาสนิท(ทองคำ)  รับราชการอยู่ที่แขวงเมืองอุทัยธานี  ภริยาของท่านได้ให้กำเนิดบุตรชายคนโตนามว่า  “ทองดี”  ครั้นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพร กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ เป็น พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ  ด้วยเหตุที่พระนายจมื่นมหาสนิท(ทองคำ) เป็นเจ้าราชนิกุลและข้าหลวงเดิม จึงโปรดให้แต่งตั้งเป็นพระยาราชนิกูล ปลัดทูลฉลองในกรมมหาดไทย  พระยาราชนิกูล(ทองคำ) จึงอพยพย้ายครอบครัวกลับมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลป่าตอง ใกล้กับวัดบรมพุทธาวาศน์ (บรมพุทธาวาส-วัดกระเบื้องเคลือบ จ.พระนครศรีอยุธยา) อันเป็นนิวาสสถานเดิมของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 7 (ออกพระเพทราชา)

เมื่อท่านทองดีมีอายุสมควรแก่การเข้ารับราชการแล้ว  พระยาราชนิกูล(ทองคำ) นำบุตรชายเข้าถวายตัวให้รับราชการ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จเอกาทศรุทรอิศวร ที่ 5  โดยให้มาช่วยเหลืองานของตนอยู่ที่กรมมหาดไทย ภายหลังท่านทองดีได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหลวงพินิจอักษร เสมียนตราในกรมมหาดไทย  เมื่อหลวงพินิจอักษร (ทองดี) อายุครบ 20 ปี  พระยาราชนิกูล (ทองคำ) จึงทำการอุปสมบทหลวงพินิจอักษร(ทองดี) บุตรชายเป็นพระภิกษุตามประเพณีนิยม  เมื่อลาสิกขาแล้วได้สู่ขอ “คุณดาวเรือง”  หลานสาวของเจ้าพระยาอภัยราชา อัครมหาเสนาบดีสมุหนายก ให้วิวาหมงคลกับหลวงพินิจอักษร(ทองดี)  แล้วท่านทั้งสองก็ย้ายมาอยู่ยังนิวาสสถานของตระกูลคุณดาวเรือง ภายในกำแพงพระนครเหนือป้อมเพชร

อยู่มาหลวงพินิจอักษร (ทองดี) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “พระอักษรสุนทรสาสน์”  เจ้ากรมเสมียนตราในกรมมหาดไทย มีหน้าที่ร่างพระราชสาสน์ต่าง ๆ ของพระเจ้าแผ่นดิน และออกสารตราสั่งการไปยังหัวเมืองเหนือ รวมถึงเก็บรักษาพระราชลัญจกรอันเป็นตราประจำแผ่นดิน  ก่อนหน้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยาจะเสียให้แก่กองทัพพม่าใน พ.ศ. 2310 เพียงไม่นาน  พระอักษรสุนทรสาสน์ (ทองดี) ได้อพยพหนีภัยสงคราม ขึ้นไปรับราชการอยู่กับเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง)  ซึ่งตั้งตนเป็นเจ้าก๊กพิษณุโลก  โดยพระอักษรสุนทร (ทองดี)  ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพระยาจักรี  อัครมหาเสนาบดีสมุหนายกเมืองพิษณุโลก

ต่อมา พ.ศ. 2311 เจ้าพิษณุโลก (เรือง)  ทำสงครามมีชัยชนะเหนือพระบาทสมเด็จพระเอกาทศรุทรอิศวร ที่ 6  สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน)  ก็มีใจกำเริบ  จึงประกาศตั้งตัวเป็นพระเจ้าแผ่นดินรับราชโองการอยู่ได้ 7 วัน ก็ประชวรเป็นวัณโรคขึ้นในคอถึงแก่พิราลัย  ส่วนเจ้าพระยาจักรี (ทองดี)  ซึ่งมิได้มีความมักใหญ่ใฝ่สูง ได้แอบอาศัยอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก จนกระทั่งเมืองพิษณุโลกเสียให้แก่เจ้าพระฝาง (เรือน)  เจ้าก๊กเมืองสวางคบุรี  ต่อมาไม่นาน เจ้าพระยาจักรี(ทองดี) ก็ล้มป่วยด้วยพิษไข้จนถึงแก่อสัญกรรมในเมืองพิษณุโลกนั้นเอง

เจ้าพระยาจักรี (ทองดี) ผู้นี้  คือ “สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก” หรือ  “สมเด็จพระชนกาธิบดี”  ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์จักรี

แม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงพระราชนิพนธ์ไว้ ว่าบรรพบุรุษของพระองค์เป็นเพียงเสนาบดีต่างประเทศ คือเสนาบดีคลัง แต่สำหรับข้าพเจ้า(เซอร์จอห์น เบาริง ) กลับเห็นว่าออกญาโกษาธิบดี (ปาน) อาจมีชาติกำเนิดที่สูงส่งกว่าเป็นเพียงบุตรของเจ้าแม่วัดดุสิต (หม่อมเจ้าบัว)  อันเกิดกับลูกหลานคนหนึ่งของพระญาเกียรติ  ขุนนางเชื้อสายมอญ แต่ท่านอาจมีชาติกำเนิดเป็นถึง  “พระโอรส” ในพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งพระองค์ทรงเป็น “โอรสลับ” ของสมเด็จพระนเรศ  ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ความลับเรื่องนี้น่าจะเป็นที่รับรู้กันภายในราชสำนักสยามเป็นอย่างดี

ทฤษฎีเรื่องออกญาโกษาธิบดี (ปาน) เป็น “พระราชนัดดา” ในสมเด็จพระนเรศของข้าพเจ้านั้น  ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเลื่อนลอยไปเสียทีเดียว เพราะหลังจากเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ยกทัพกลับจากปราบขบถเมืองจำปาศักดิ์เมื่อ พ.ศ. 2320 (หนังสือเรื่องปฐมวงศ์ ฉบับที่ 2 ว่า พ.ศ. 2322) พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรุทรอิศวร พระองค์ที่ 6 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี  มีพระราชดำริว่า “เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ทำความชอบต่อแผ่นดินมามาก แต่ยศศักดิ์ยังหาสมกับความชอบไม่  จึงโปรดพระราชทานนามบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิลึกมหิมา ทุกนัคราระอาเดช นเรศรราชสุริยวงศ์ องค์อัครบาทมุลิกากร บวรรัตนบรินายก”

ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระนามรัชกาลปฐมกษัตริย์ราชวงศ์จักรีเสียใหม่ ในหนังสือเรื่อง กำหนดพระนามสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร มหินทรายุทธยา ทั้ง 4 รัชกาล แลพระนามกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แลพระนามกรมพระราชโอรสธิดาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 4 รัชกาล จดพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนาถ นเรศวรราชวิวัฒนวงศ์ ประถมพงศ์ธิราชรามาธิบดินทร์ สยามวิชิตินทรวโรดม บรมนาถบพิตร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์”

การที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้รับพระราชทานสร้อยนามบรรดาศักดิ์ ว่า “นเรศรราชสุริยวงศ์”  และได้รับการถวายสร้อยพระนามว่า “นเรศวรราชวิวัฒนวงศ์”  ย่อมเป็นการแสดงว่า พระองค์ทรงเป็นพระราชวงศ์ในสมเด็จพระนเรศ ซึ่งเป็นที่รับรู้กันเป็นอย่างดีในราชสำนักสยามยุคนั้น ว่า พระองค์ทรงสืบเชื้อสายมาจากสมเด็จพระนเรศ กษัตริย์สมัยศรีอยุทธยา

หากออกญาโกษาธิบดี(ปาน)  เป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระนเรศจริง ตามที่ข้าพเจ้าตั้งข้อสันนิษฐานไว้  ราชวงศ์จักรีก็อาจจะสืบสาวสายสัมพันธ์ทางเครือญาติย้อนกลับไปจนถึงราชวงศ์พระร่วง เมืองสุโขทัย เลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ราชวงศ์จักรีจึงนับเป็นพระราชวงศ์ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย

เรียบเรียงจาก นิตยสารศิลปวัฒนธรรม สนพ.มติชน