อะโวคาโด ผลไม้ที่เปี่ยมไปด้วยประโยชน์มากมาย แถมขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีอีกด้วย นำมาทานได้หลากหลาย ทั้งทานผลสดๆ ทานกับไอศกรีมหรือนำมาทำสลัด ซึ่งวันนี้เราได้นำวิธีการเลือกซื้ออะโวคาโดอย่างไรให้สุกกำลังดี เนื้อไม่เละ มาฝากกันค่ะ แต่ก่อนอื่นเรามารู้จักอะโวคาโดผลไม้สีเขียวลูกนี้กันก่อนดีกว่าค่ะ
อะโวคาโดมีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลาง และหมู่เกาะเวนต์อินดีส เริ่มแพร่กระจายในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 โดยชาวสเปนนำไปปลูกที่เปรู ต่อมาในศตวรรษที่ 18 ได้แพร่เข้าสู่ฮาวาย ฟลอริดา และแคลิฟอร์เนีย
อะโวคาโดเป็นต้นไม้พื้นเมืองของเม็กซิโกในรัฐปวยบลา นิยมปลูกในแถบยุโรปและแถบอเมริกาใต้ และเป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานกันมากในแถบยุโรปและอเมริกา เพราะมีสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุหลากหลายที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่สำหรับบางคนกลับไม่ชอบเพราะเป็นผลไม้ที่ไม่มีรสหวาน ผลไม้ชนิดนี้จึงถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย ในประเทศไทยมีการนำมาปลูกครั้งแรกที่จังหวัดน่าน ก่อนจะแพร่ขยายไปทั่วประเทศ โดยอะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีเนื้อมันเป็นเนย ลักษณะของผลจะมีรูปร่างคล้ายสาลี่ หรือรูปไข่จนถึงรูปกลม และสายพันธุ์ที่นิยม คือ สายพันธุ์ HASS โดยผลมีลักษณะเป็นรูปแพร์ ผิวขรุขระและมีสีเขียวเข้ม เมื่อสุกอาจเปลี่ยนเป็นสีดำเข้ม เนื้อสีเหลือง เมล็ดเล็กถึงขนาดกลาง ถือเป็นอะโวคาโดพันธุ์การค้าอันดับ 1 ของโลก
หลังจากทำความรู้จักกับอะโวคาโดพันธุ์สายพันธุ์ HASS แล้ว มาดูเคล็ดลับวิธีการเลือกอะโวคาโดให้สุกกำลังดี มีเนื้อสีสวย และไม่เละจนเกินไป ด้วยการสังเกตง่ายๆ ตามขั้นความสุกกันค่ะ
ขั้นที่ 1 ดิบ (แข็ง) หากผลอะโวคาโดมีลักษณะแข็งแสดงว่ายังไม่พร้อมทาน แนะนำให้รออีก 5 วันขึ้นไป และเก็บไว้ในอุณหภูมิ 20-25 °C จนกว่าผลจะสุก
ขั้นที่ 2 ดิบ (เริ่มอ่อน) หากเนื้ออะโวคาโดยังแน่นและค่อนข้างแข็งอยู่ แนะนำรออีก 4-5 วันขึ้นไป และเก็บไว้ในอุณหภูมิ 20-25 °C จนกว่าผลจะสุก
ขั้นที่ 3 เริ่มสุก อะโวคาโดเริ่มสุกแล้ว แต่เนื้อยังค่อนข้างแข็งอยู่ แนะนำควรรออีก 2 วัน และเก็บไว้ในอุณหภูมิ 20-25 °C จนกว่าผลจะสุก
ขั้นที่ 4 สุกกำลังดี เนื้ออะโวคาโดเริ่มนิ่มบริเวณรอบๆ ขั้ว และสุกพร้อมรับประทานแล้ว ด้วยลักษณะเนื้อที่เฟิร์มกำลังดี เหมาะสำหรับทานแบบสดๆ
ขั้นที่ 5 สุก และนิ่ม อะโวคาโดสุกพร้อมทานจะมีเนื้อนิ่ม ด้วยลักษณะเนื้อที่นิ่มทำให้เหมาะสำหรับไปทำเมนูอร่อยได้หลากหลาย
ที่มา : Tesco Lotus