พระราชดำรัสที่ว่านี้ คือ "...พี่เถร จะเอาสมบัติหรือไม่เอา ถ้าเอาก็รีบสึกไปเถอะ ถ้าไม่เอาหม่อมฉันจะได้เอา..."
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ขณะที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรใกล้จะเสด็จสวรรคต ตามประเพณีสืบราชสันตติวงศ์ พระราชสมบัติจะต้องตกแก่ “สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ” (รัชกาลที่ 4) พระราชโอรสที่ประสูติแต่พระอัครมเหสี แต่ขณะนั้นกำลังทรงอยู่ในเพศบรรพชิต
พระราชดำรัสนี้เป็นที่ถกเถียงกันและยังคงทิ้งไว้ให้เป็นปัญหาจนบัดนี้ !!! แต่…หากจะพิจารณาจากพระอุปนิสัยและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของเจ้านายทั้ง 2 พระองค์ ก็อาจได้คำตอบ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย(รัชกาลที่ 2) ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระอัครมเหสี จึงทรงมีสิทธิ์ในพระราชบัลลังก์อย่างชอบธรรมตามพระราชประเพณีการสืบราชสันตติวงศ์ทั้งสองพระองค์ แต่ขณะที่สมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จสวรรคตนั้น กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่(รัชกาลที่ 3) ซึ่งมีพระชันษาแก่กว่าสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎถึง 17 ปี แม้พระมารดาจะเป็นเพียงเจ้าจอมมารดา แต่ก็เป็นพระราชโอรสที่ไว้วางพระราชหฤทัยให้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจบริหารบ้านเมืองต่างพระเนตรพระกรรณ และทรงมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการบริหารแผ่นดินตั้งแต่สมเด็จพระบรมชนกนาถยังทรงพระชนม์อยู่ จนเป็นที่ยอมรับของเหล่าเสนาบดี
ในขณะที่สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎยังทรงศึกษาวิชาความรู้สำหรับองค์รัชทายาท ยังไม่ทรงมีประสบการณ์ในกิจการบ้านเมือง ที่ประชุมเสนาบดีจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ทูลเชิญ “กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์” ขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ในรัชสมัยนี้มีเหตุให้สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎต้องทรงผนวช และทรงอยู่ในสมณเพศจนตลอดรัชสมัย เป็นเวลาถึง 27 ปี
ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จสวรรคตนั้น ทรงพระราชปรารภถึงผู้ที่สมควรจะสืบราชสมบัติว่า “…ที่สติปัญญาพอจะรักษาแผ่นดินอยู่ได้ ก็เห็นแต่ท่านฟ้าใหญ่ท่านฟ้าน้อย 2 พระองค์…”
ซึ่งขณะนั้น “ท่านฟ้าใหญ่” ยังคงประทับจำพรรษาอยู่ ณ วัดบวรนิเวศ ดังนั้น พระดำรัสถามเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ที่ว่า “…พี่เถรจะเอาสมบัติหรือไม่เอา ถ้าเอาก็รีบสึกไปเถอะ ถ้าไม่เอาหม่อมฉันจะได้เอา…”
ในที่สุดพระภิกษุสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎก็ได้ทรงลาผนวช และเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และโปรดสถาปนาสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระราชอนุชา เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 ของสยาม
ถึงกระนั้นประโยคแห่งพระราชดำรัสที่ว่า “…ถ้าไม่เอาหม่อมฉันจะได้เอา…” เป็นคำถามที่ยังฉงนว่า “ตรัสเย้าหยอกพระเชษฐาหรือตรัสจริง??”
เป็นที่รู้กันว่า “ท่านฟ้าน้อย” หรือสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอุปนิสัยชอบสนุกและไม่ทรงชอบการพิธีรีตอง แต่ในความรักการเล่นสนุกนั้น สมเด็จเจ้าฟ้าชายหนุ่มทรงทราบถึงสถานการณ์บ้านเมือง และสถานภาพของพระองค์เองเป็นอย่างดี ท่ามกลางความอึมครึมกับความระแวงแคลงใจ ชิงไหวชิงพริบกัน ระหว่างสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎกับพระเจ้าแผ่นดิน(รัชกาลที่ 3) ยิ่งมีข่าวลือแพร่หลายว่าพระเจ้าอยู่หัวจะโปรดสถาปนาพระองค์ให้ทรงดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราช ก็ยิ่งจะทำให้สถานภาพของพระองค์ยุ่งยากเป็นทวีคูณ ดังนั้น การที่ทรงถูกมองว่าทรงรักการเล่นสนุกนั้น ก็น่าที่จะทำให้พระองค์ถูกเพ่งเล็งน้อยลง
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ สนพระทัยเกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไกและการช่างแบบสมัยใหม่ ตั้งแต่กลไกชิ้นเล็กๆ คือเครื่องกลไกของนาฬิกา ถึงกับโปรดให้เปิดเรือนเล็กๆ ที่มีบานกระจกหน้าเรือนปิดป้ายอักษรทองว่า “ที่นี้ทำแลแก้นาฬิกาพก นาฬิกาซุ้ม” ซึ่งมักจะเห็นพระองค์ทรงแว่นขยายชนิดติดตาท่ามกลางชิ้นส่วนเล็กๆ ของเครื่องนาฬิกาเป็นจำนวนมาก เครื่องยนต์กลไกขนาดใหญ่ที่ให้ความสนพระทัย คือ การต่อเรือ ทรงศึกษาวิธีการต่อเรือโดยใช้เครื่องจักรกลตามแบบยุโรป และประสบผลสำเร็จสามารถใช้แล่นในแม่น้ำเจ้าพระยาได้ สืบเนื่องจากความสนพระทัยเรื่องเรือ จึงเลยไปถึงเรื่องการทหาร
จนมีข่าวเล่าลือว่าทรงซ่องสุมกำลังรี้พล จึงต้องทรงถอยห่างจากความชอบในด้านนี้ ทรงหันไปสนพระทัยในวิทยาการการแพทย์สมัยใหม่ เช่น ทรงสนับสนุนให้สตรีไทยคลอดบุตรตามแบบตะวันตก จนเป็นที่รู้กันในหมู่ชาวตะวันตกที่ทรงคบค้าสมาคมด้วย ว่าในการสนทนากันนั้น พระองค์จะทรงหลีกเลี่ยงการสนทนาเรื่องการเมือง
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำเนินพระชนมชีพง่ายๆ สนุกสนานไม่ใคร่จะมีพิธีรีตอง เล่ากันว่ามักเสด็จออกให้ข้าราชการเฝ้าธรรมดาที่โรงรถ นอกจากจะมีการพระราชพิธี จึงจะเสด็จออกให้เฝ้าที่ท้องพระโรง และมักเสด็จตามที่ต่างๆ ลำพังพระองค์ ด้วยการทรงขี่ม้าหรือมีผู้ติดตามเพียงคนเดียว เป็นต้น ในขณะที่สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ ทรงเคร่งขรึมเคร่งครัดกับระเบียบวินัยและมีพิธีรีตอง จึงมักขวางพระเนตรในการกระทำแปลกๆ ของพระราชอนุชา และทรงค่อนขอด เช่น ครั้งเสด็จฯ ผ่านพระราชวังเดิม ทอดพระเนตรเห็นธงยอดเสา ซึ่งพระราชอนุชาทรงสั่งให้ชักขึ้นไว้ ก็ทรงค่อนว่า “นั่นฟ้าน้อย เอาผ้าขี้ริ้วขึ้นไปตากไว้ทำไม” และมักทรงวิจารณ์ทำนองค่อนแคะประชดประชันพระราชอนุชาว่า “…วังหน้า เป็นหนุ่มแข็งแรง ขี่ช้างน้ำมัน ขี่ม้าเทศสูงสามศอกเศษ ยิงปืนทุกวัน ชอบการทหารมาก มีวิทยาอาคมดี ฤๅษีมุนีแพทย์ หมอมีวิทยานับถือเข้าอยู่ด้วยมาก ผู้หญิงก็รักมาก เลี้ยงลูกเมียดี…”
ในส่วนพระราชอนุชาก็มักตรัสทำนองล้อเลียนหยอกเย้าสมเด็จพระเชษฐาเสมอๆ แม้คำตรัสเรียกพระเชษฐาก็ทรงเรียก พี่ทิดบ้าง พี่เถรบ้าง และมักตรัสค่อนว่า “แก่วัด” และมักทรงล้อเลียนการกระทำบางอย่างของพระเชษฐา เช่น ครั้งหนึ่งพระเชษฐาทรงส่งชาจีนอย่างดีมาพระราชทาน เพราะทรงทราบว่าพระราชอนุชาโปรดเสวยน้ำชา เมื่อทรงลองจิบดูก็รับสั่งล้อว่า “พุทโธ่ นี่มันชาบังสุกุลนี่นา”
การแสดงออกของเจ้านายทั้ง 2 พระองค์นี้ ผู้คนภายนอกที่ไม่รู้เรื่องราวลึกซึ้งมักจะเข้าใจกันว่าทั้งสองพระองค์ไม่ทรงลงรอยกัน
แต่เหตุการณ์ทั้งหมดก็คลี่คลายลง เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 5) ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นไว้ว่า…
“…ขณะที่ทั้ง2 พระองค์อยู่กันโดยลำพัง พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เสด็จเข้ามากอดพระบาท ทรงพระกรรแสงว่าหาช่องที่จะกราบทูลอยู่ช้านานแล้ว ก็ไม่มีโอกาส บัดนี้ไม่มีใคร จะขอกราบบังคมทูลแสดงน้ำใจที่ซื่อสัตย์สุจริตต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มีผู้กราบบังคมทูลกล่าวโทษว่าสะสมเครื่องศัสตราวุธ กระสุนดินดำไว้ ก็ได้สะสมไว้จริง มีอยู่มากไม่นึกกลัวใคร แต่เป็นความสัตย์จริงที่จะได้คิดประทุษร้ายต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทไม่มีเลยสักขณะจิตหนึ่ง แล้วถวายสัตย์สาบานเป็นอันมาก ซึ่งตระเตรียมไว้นั้นเพื่อจะป้องกันผู้อื่นเท่านั้น ทูลกระหม่อมก็ทรงพระกันแสงกอดพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ และทรงแสดงความเชื่อถือ มิได้มีความรังเกียจอันใดในข้อนั้น…”
ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นคำตอบได้ว่า ประโยคที่สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ตรัสไว้ข้างบนนั้น ตรัสเย้าหยอกพระเชษฐา หรือ ตรัสจริง!!
อัพเดตเรื่องราวทัวร์ศิลปวัฒนธรรม ได้ที่ เพจเฟซบุ๊กทัวร์มติชนอคาเดมี