อาทิตย์นี้เรายังวนเวียนอยู่เมลเบิร์นค่ะ น่าจะถูกใจสายสโลว์ไลฟ์เป็นพิเศษ เพราะว่าเราจะพาออกไปชิล..ชิลย่านชานเมืองที่ ฟิทซ์รอย กัน
แถวนี้รับทราบกันดีว่าเป็นถิ่นชาวฮิปปี้ผู้พิสมัยการเสพสุข แวดล้อมไปด้วยงานศิลปะกราฟฟิตี้สุดเท่ เป็นแหล่งรวมร้านค้ามีสไตล์ ร้านอาหารดีๆ ในช่วงกลางวันและยามค่ำคืน ไปจนถึงผับบาร์เก๋ๆ
มาระยะหลังย่านฟิทซ์รอยยังเป็นแหล่งรวมของบรรดาฮิปสเตอร์ ที่มาพร้อมกับการผุดขึ้นของคาเฟ่ ทั่วทุกหัวระแหง เอาใจไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่กลายเป็นย่านแฮงเอาต์สุดฮิต
ที่ช่วยขับบรรยากาศให้ย่านนี้มีสีสันสนุกสนานขึ้นมากเป็นพิเศษเห็นจะเป็นกราฟฟิตี้สีจัดจ้าน ที่โดดเด่นสะดุดตาอยู่บนกำแพงหลายแห่ง เอาเป็นว่าแทบไม่เหลือผนังตึกเปลือยเปล่าในฟิทซ์รอยให้เห็นง่ายๆ แล้ว
ถ้าใครได้มาแถวนี้ลองเช็กร้านอาหารจากกูเกิลแมปดูจะเจอร้านคาเฟ่ให้เลือกเป็นสิบๆ ร้าน คาเฟ่ที่นี่ไม่เพียงมีกาแฟคุณภาพ ยังมีมื้อบรันช์ดีๆ ที่แต่ละร้านแข่งกันครีเอตเมนูให้เด็ดโดนใจ ทั้งรสชาติและหน้าตา
ตัดสินใจเลือกร้าน “Pound Mary” ร้านนี้ราคาอาจจะสูงหน่อย แต่บรันช์ดีงามเหลือเกิน ถ้ามาวันเสาร์อาทิตย์คนจะแน่นพอสมควร ต้องไปบอกชื่อจองคิวไว้ รอประมาณ 15 นาทีก็ได้โต๊ะ
ในร้านมีพื้นที่ไม่กว้างนัก แต่วิธีจัดร้าน แบ่งโต๊ะ มีทั้งเคาน์เตอร์บาร์ โต๊ะส่วนตัว และโต๊ะขนาดใหญ่ให้นั่งล้อมวงรวมกัน ทำให้ร้านดูโปร่งทีเดียว
เราได้โต๊ะรวม มีเพื่อนร่วมโต๊ะเป็นหนุ่มผมบลอนด์ 2-3 คน สองสาวเพื่อนซี้ออสซี่อีกคู่นึง และนักท่องเที่ยวชาวเอเชียอีกกลุ่มนึง แม้จะนั่งร่วมโต๊ะกัน แต่ก็ไม่ได้เคอะเขินอะไร ด้วยความที่โต๊ะมีขนาดใหญ่ทำให้การนั่งดูเป็นสัดเป็นส่วนดีอยู่
สองคนเรากับเพื่อนเลือกสั่ง “The Potato hash” กับ “Bacon katsu sando” ส่วนเครื่องดื่มเลือกกาแฟลาเต้ร้อนกับชาผลไม้
“The Potato hash” ราคา 23 เหรียญ จานนี้เป็นบรันช์ที่กินเอาอิ่มเลย มีแฮชบราวน์ที่อร่อยมากเนื้อด้านนอกเกรียมหน่อยๆ ขณะที่เนื้อด้านในเนียนนุ่มลิ้น กินกับเบคอนชิ้นหนาเค็มนิดๆ กัดเต็มคำ พร้อมกับไข่โพชอีก 2 ฟอง และสลัดผักเคลที่สดกรอบอร่อย สมกับที่เป็นดินแดนแห่งพืชผักออร์แกนิคของโลกจริงๆ
อีกจานลองสั่ง “Bacon katsu sando” 20.5 เหรียญ ปรากฏว่าดีงามไม่แพ้กัน จานนี้ยกมาเสิร์ฟทีแรกดูไม่ออกว่าเป็นอะไร เพราะบนจานฟูฟ่องไปด้วยแผ่นปลาโอที่โรยหน้ามาจนไม่เห็นอย่างอื่น ขุดคุ้ยลงไปถึงพบว่ามันคือแตร์รีนเบคอนผสมเครื่องปรุง วางมาบนขนมปังปิ้งทาซอสแอปเปิล แปะด้วยไข่ดาวเกือบสุก และผักกาดเขียวปลี
กินอิ่มแล้วเดินย่อยดูบ้านเมืองเพลินๆ แล้วจะลองแวะไปชิม ครัวซองต์ ร้าน Lune อีกก็ได้
ร้านนี้รอบแรกไปถึงเพิ่งจะบ่ายสาม ขณะที่ในเพจร้านบอกไว้ว่าปิดสี่โมง แต่ไปถึงประตูร้านปิดเงียบ พร้อมกระดาษแปะว่าขายหมดแล้ว โอ้โห ของเขาขายดีจริงๆ วันถัดมามากันตั้งแต่สิบโมงเช้าไม่ทันให้รู้ไป!
ด้านในร้านตบแต่งสไตล์ลอฟต์ เน้นโปร่งเรียบง่าย บริเวณห้องทำขนมกั้นแค่กระจกใส เปิดโล่งให้เห็นการทำเบเกอรี่กันสดๆ ตรงแคชเชียร์สั่งขนมดีไซน์น่ารัก ใช้การวางขนมที่มีวันนั้นเรียงกันพร้อมติดราคาให้เห็นชัดเจน สั่งแล้วไปนั่งรอที่โต๊ะเล็กๆ ที่ตั้งไว้ชิดตามผนังแต่ละด้าน น้ำเปล่าหรือโซดา เดินไปกดเองตรงจุดขายกาแฟ วันที่เราไปก็เห็นคนเดินเข้าร้านไม่ขาดสาย นี่ขนาดวันธรรมดานะเนี่ย
ครัวซองต์นี้ว่ากันว่าเป็นถึงราชินีแห่งขนมปัง เพราะรสสัมผัสอันซับซ้อน มีเสน่ห์เกินห้ามใจ ด้วยผิวนอกที่เปราะบาง ชั้นในคือแป้งที่ทาด้วยเนยซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่าทำให้เนื้อในฉ่ำนุ่ม
ไหนๆ ได้มาทั้งทีเลยสั่งทีเดียว 3 อย่าง คือ ครัวซองต์แบบ Traditional 5.9 เหรียญ ครัวซองต์อัลมอนด์ 9.5 เหรียญ และ Apple and Feijoa 8 เหรียญ พร้อมลาเต้ร้อนอีกแก้ว อร่อยสมคำล่ำรือ ส่วนตัวชอบแบบเทรดิชันแนลเนื้อสัมผัสไม่มีที่ติ กับ แอปเปิลที่มีรสชาติหวานละมุนอมเปรี้ยวสดชื่น
อีกร้านที่ต้องลอง คือ Grill’d เป็นร้านเบอเกอร์ของออสเตรเลีย มีสาขาเฉพาะในประเทศ เป็นร้านที่ภูมิใจนำเสนอวัตถุดิบเครื่องปรุงเป็นของท้องถิ่นเท่านั้น เขาโฆษณาว่าเป็นเบอร์เกอร์ที่เฮลตี้ ลองสั่งเมนูเบอเกอร์ไก่ “Sweet Chilli Chicken” 12 เหรียญมาชิมถึงกับตาโต อร่อยจริง! เป็นอกไก่ชิ้นหนาย่างหอม ราดซอสสูตรเฉพาะ ใช้ผักคุณภาพ ดีจนนึกอยากให้ขยายสาขามาเมืองไทยบ้าง
ส่วนที่คนรีวิวเยอะอีกแห่ง คือ “Grubfitzroy” ร้านนี้ตรงทางเข้ามีซากรถแวนสีเงินวาววับยืนเด่นเป็นแผนกต้อนรับอยู่ด้านหน้า ในร้านบรรยากาศเขียวสดใสเป็นสวนป่าย่อมๆ ตกแต่งสไตล์ฮิปปี้ ให้สัมผัสที่เบิกบานใจ เมนูเขานำเสนอได้แหวกแนวดี แบ่งหมวดหมู่อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ต่างๆ เป็น Land ,Sea ,Earth ลูกเล่นเก๋ไก๋สมกับเป็นดินแดนฮิปปี้จริงๆ
และที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเมลเบิร์นอีกอย่าง คือ เจลาโต้ เดินดุ่ยมาเจอร้าน “Messina” ร้านนี้ติดโผต้องลองของทุกสำนัก รสชาติมีให้เลือกเป็นสิบๆ รส คนขายแนะนำว่ารสพิสตาชิโอขายดี แต่เราชอบของสามัญที่คุ้ยเคย ช็อกโกแลตกับมะม่วง ส่วนเพื่อนสั่ง ช็อกโกแลต สตรอเบอรี่ ซอร์เบต์ จุดเด่น คือ เนื้อเนียนนุ่มมาก รสชาติทำให้อารมณ์ดี
นอกจากร้านอาหารแล้ว ย่านนี้ยังมีอีเวนต์น่ารัก เฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ มีตลาดงานอาร์ตเก๋ๆ ชื่อ The rose street artists market รวมร้านสินค้าอาร์ตๆ ให้เลือกชมเลือกซื้อกัน
ที่ฟิทซ์รอยบอกตรงๆ ว่าให้เวลาสามวันก็ยังเดินไม่ทั่ว ยังมีอีกหลายร้านที่จดไว้ในใจ โอกาสหน้าฟ้าใหม่ต้องเจอกันแน่