บัว ถือเป็นพืชที่น่าสนใจเพราะประโยชน์หลากหลายใช้ได้ทุกส่วนจริงๆ แล้วยังมีคุณสมบัติที่สามารถใช้เพื่อการบำรุงความงามได้ด้วย
บัวมีรสฝาด ขม หวาน มีคุณสมบัติเย็นเกือบทุกส่วน ใช้แก้ไข ร้อนใน กระหายน้ำ ขับปัสสาวะ หากแยกเป็นส่วนๆ จะพบว่า ลำต้นหรือสายบัว มีรสฝาด เย็น มีกลิ่นหอม ขับปัสสาวะ และขับพยาธิ แก้อาการปัสสาวะขัด
รากมีรสขม เย็น แก้ไข ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ เจ็บหน้าอก ควบคุมการหลั่งน้ำอสุจิไม่ได้ (spermatorrhoea)
ดอกบัว มีรสหวาน ฝาด เย็น และบำรุงหัวใจ ใช้แก้ท้องเสีย ไข้ แก้โรคตับ แก้ช้ำใน หลอดลมอักเสบ ไอ แผลพุพองตามผิวหนัง ช่วยให้นอนหลับ
ผลและเมล็ด รสขม ฝาด หวาน เย็น บำรุงร่างกาย ฟอกเลือด และบำรุงกำหนัด ใช้แก้อาการกระหายน้ำอย่างรุนแรง แก้โรคผิวหนัง ปาก (ลมหายใจ) มีกลิ่น ประจำเดือนมามากเกินไป ตกขาว ไข้
ใบบัว มีรสขม เย็น แก้ปัสสาวะขัด ริดสีดวงทวาร และโรคผิวหนังกำเริบ
เกสรบัว มีรสฝาด เย็น บำรุงหัวใจ ใช้แก้ท้องเสีย ริดสีดวงทวาร แก้อาการอักเสบ ร้อนใน (แผลในปาก) และประจำเดือนมามากเกินไป
อีกส่วนของบัวคือ ไหลบัว เปรียบเสมือนหน่อของบัว มีคุณสมบัติคล้ายกับหน่อไม้คือ มีคุณสมบัติร้อน เพราะเป็นส่วนที่กำลังเติบโต อุดมไปด้วยพลังชีวิต เพิ่มการไหลเวียนของเลือดลม บำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย
ในด้านความงาม เกสรบัว ถูกค้นพบว่ามีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวขาวโดยออกฤทธิ์ต่อต้านเอนไซม์ สร้างเม็ดสีในผิว ชะลอริ้วรอยผิวเสื่อมสภาพ นำเกสรบัวมาตำบดพอกหน้าก็น่าจะมีส่วนช่วยบำรุงผิวได้ดี
ส่วนใบบัวนั้น น่าสนใจทีเดียว…คนท้องทุ่งบางเดชะ ปราจีนบุรี เล่าต่อกันมานานว่า ใบบัวอ่อนจิ้มน้ำพริกช่วยลดน้ำหนัก มีงานวิจัยช่วยยืนยัน ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrition and Metabolism เมื่อปี 2553 พบว่า ใบบัวนั้นช่วยลดการสะสมของไขมันเข้าสู่เซลล์ไขมัน (adipocyte) และยังเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการเผาผลาญเซลล์ไขมันในร่างกายอีกด้วย
โดยเปรียบเทียบกับสาร L-carnitine (ที่อ้างสรรพคุณกันว่า ช่วยควบคุมน้ำหนักได้วางขายกันอยู่มากมาย) ก็พบว่า มีฤทธิ์ใกล้เคียงกัน แม้การทดลองนี้จะเป็นการทำในหลอดทดลอง แต่ก็ทำให้เห็นแนวโน้มใบบัวน่าจะมีประโยชน์ต่อการควบคุมน้ำหนัก ลดไขมันสะสม และปลอดภัยแน่นอน แต่ L- carnitine ต้องซื้อหา ราคาแพง ปลอดภัยแค่ไหนไม่แน่ใจ ใครอยากผอมมากินใบบัวกัน
ที่มา | คอลัมน์ คนงามเพราะแต่ง วารสารอภัยภูเบศร ปีที่ 11 ฉบับที่ 121 |
---|---|
ผู้เขียน | ภญ.วัจนา ตั้งความเพียร |