เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 17 กันยายน ที่ห้องบอลรูม โรงแรมชาเทรียม ริเวอร์ไซค์ นิตยสาร Elite Plus โดยบริษัท อีลีท ครีเอทีฟ จำกัด เป็นบริษัทในเครือของสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น จัดงานฉลองครบรอบ5ปี โดยมีแขกผู้มีเกียรติรวมทั้งคณะทูตและภรรยามาร่วมงานจำนวนมาก
ทั้งนี้ นอกจากเป็นการฉลองความสำเร็จของนิตยสารที่มีผลประกอบการเป็นบวกในทุกปีแล้ว ยังเป็นการระดมทุนการกุศลเพื่อมอบให้กับองค์การยูเนสโก(UNESCO) หรือ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) ได้นำไปใช้ในการดำเนินงานขององค์กร
อาทร เตชะธาดา กรรมการผู้จัดการ สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น บอกเล่าก่อนงานจะเริ่ม ว่า ปีนี้ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง หนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์ดาวรุ่งรุ่นใหม่ มาเป็นองค์ปาฐก ปาฐกถาในหัวข้อ “อนาคตเศรษฐกิจไทยในทศวรรษหน้า” เนื่องจากคนอ่านนิตยสารอีลีท พลัส ส่วนมากเป็น
นักการทูตและนักธุรกิจที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย จึงต้องการรู้สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของไทยว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอีกสิบปีข้างหน้า และ ดร.กอบศักดิ์ เป็นผู้หนึ่งที่คิดเรื่อง Creative Economy รวมทั้ง Creative Indrustry ซึ่งการพูดครั้งนี้เป็นการพูดถึงเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานของยูเนสโกด้วย
จากนั้น ดร.พิสุทธิ์ เลิศวิไล กรรมการบริหารอีลีท พลัส กล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ พร้อมขอบคุณ ดร.กอบศักดิ์ ที่มาเป็นองค์ปาฐกในครั้งนี้
นอกจากนี้ดร.พิสุทธิ์ กล่าวด้วยว่า อีลีท พลัส ได้ทำหน้าที่ร่วมแชร์สิ่งดีๆ ให้กับสังคม โดยจัดระดมทุนให้กับองค์การยูเนสโก ดังนั้น จึงเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่เป็นตัวกลางนำสิ่งเหล่านี้สู่สังคม สำหรับปีนี้ ปีที่5 และปีที่กำลังจะมาถึง อีลีท พลัส จะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด และสร้างสรรค์เรื่องราวดีๆ สู่สังคม สู่ผู้อ่านต่อไป
จากนั้นผู้อำนวยการยูเนสโก ประจำกรุงเทพมหานคร “Shigeru Aoyagi” กล่าวขอบคุณ และพูดถึงพันธกิจของยูเนสโก ว่า มีเป้าหมายในการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงสันติภาพ ความเสมอภาค และ ความรุ่งเรืองของทุกประเทศทั่วโลก แต่สันติภาพมีด้วยกัน 2 แบบ คือ สันติภาพเชิงลบ หมายถึงการมองสันติภาพแบบไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น และสันติภาพเชิงบวก คือการมองการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ นำไปสู่สังคมที่มีความเป็นธรรม มีความเท่าเทียม ไม่มีการแบ่งแยกในสังคม ซึ่งสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นบนโลกนี้ให้ได้ก็คือสันติภาพเชิงบวก สำหรับประเทศไทย โครงการที่ยูเนสโกดำเนินการ ได้แก่โครงการด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม การสื่อสารและสารสนเทศ ซึ่งมองเห็นศักยภาพมากมายที่จะสร้างสันติภาพเชิงบวกผ่านโครงการเหล่านี้ สำหรับอนาคตประเทศไทยเห็นว่ายังมีความท้าทาย ทั้งมุมมองที่แตกต่าง ความซับซ้อนของปัญหา อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่รวดเร็ว การหาทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้น เชื่อมั่นมากๆ ว่าการร่วมมือกันของภาคส่วนต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงโลกได้
จากนั้น ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ขึ้นกล่าวปาฐกถา หัวข้อ “อนาคตเศรษฐกิจไทยในทศวรรษหน้า” โดยระบุถึง สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า ว่าหัวข้อวันนี้ท้าทายมาก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมอดูนักพยากรณ์ ทำให้นึกถึงภาพๆ หนึ่งที่ชอบมาก เป็นภาพของผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขาและจ้องมองไปที่เส้นขอบฟ้า ข้างๆ มีเส้นทางให้เดินไปถึงที่นั่น หลากหลายเส้นทางมาก แต่จะเลือกเส้นทางไหน ซ้ายหรือขวาดี? ซึ่งก็เหมือนกับประเทศไทยเวลานี้ ที่มาถึงจุดสำคัญยืนอยู่บนทางแยก “…เราจะสร้างอนาคตของประเทศอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับทางเลือกที่เราเลือกในวันนี้..”
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวถึง 5 แนวทางที่รัฐบาลชุดนี้ต้องทำงานอย่างหนัก อย่างแรกคือที่กำลังเป็นปัญหาขณะนี้เรื่อง “เศรษฐกิจถดถอย” คนที่มาวันนี้ก็อยากฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจประเทศไทยในขณะนี้ และรัฐบาลจะทำอย่างไร สอง-Disruption จะทำอย่างไรกับคำๆ นี้ ที่เปลี่ยนประเทศไทยไปสู่ยุคดิจิตัล 4.0 สาม-ความรุ่งเรืองของเอเชียและอาเซียน สี่-สงครามการค้า(Trade War) สุดท้ายเป็นเรื่องของ “Generation Z” รัฐบาลต้องจัดการกับเรื่องเหล่านี้อย่างไรในอนาคต
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวถึงประเด็นแรกว่า ต้องบอกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจไทยดี แต่ตอนนี้กลับไปอีกด้าน ส่งออกไม่ดีเลย ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ทุกประเทศในโลกเป็นเหมือนกันหมด อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ยกเว้นอเมริกา และเมื่อดูการส่งออกของไทย เป็นเรื่องน่าเศร้า ติดลบในทุกไตรมาส แต่ทั้งนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะที่ไทย แต่เกิดขึ้นทุกแห่งทั่วโลก มีปัญหาเดียวกัน เศรษฐกิจโลกแย่กว่าที่คิดไว้ สัญญาณต่างๆ ชะลอตัวลง 4 ไตรมาส ตัวเลขการส่งออกจากไตรมาส 2 ทุกประเทศเป็นสีแดงหมด ยกเว้นฟิลิปปินส์ เวียดนาม การที่เวียดนามยังไม่เป็นไร เพราะมีสินค้าจีนบางส่วนเข้าไปผลิตในเวียดนาม จึงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและค่อนข้างดี “…ถามว่าจะเกิดวิกฤตเหมือนในปี 2008 หรือไม่ ผมบอกว่าเป็นเรื่องปกติของธุรกิจ เป็นปรากฏการณ์ปกติ ที่มีขึ้น มีลง เป็น down circle คือช่วงขาลง เริ่มมาตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว ผลจากเศรษฐกิจโลกที่แย่กว่าที่คิด อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะทุกครั้งที่เกิดวิกฤตทำให้ต้องระมัดระวัง ไม่ทำอะไรใหญ่โตหรือลงทุนมากมาย และได้เตรียมตัวสำหรับการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น”
ประเด็นเรื่อง Disruption และเรื่องของยุคดิจิตัล 4.0 ทุกคนเห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น มีหุ่นยนต์เข้ามา มี QR code มีอินเตอร์เน็ตทุกหนทุกแห่ง คาดว่าในอีก 4 ปีข้างหน้าต่อไปนี้ แรงงานคนจะหายไปจากโรงงานอุตสาหกรรม เพราะว่าแขนกลจะสามารถทำงานได้เช่นเดียวกับมือของมนุษย์ เป็นอีกเรื่องที่คิดว่าจะเกิดในไทยอีกไม่นาน เพราะราคาเครื่องกล หุ่นยนต์ในอนาคตจะถูกลง
ส่วนเรื่องเอเชียและอาเซียนที่กำลังรุ่งโรจน์ หลายบริษัทจากทั่วโลกใครก็คิดจะมาลงทุน เมื่อมองดูรอบๆ จะเห็นตัวเลขของเอเชียว่าเป็นภูมิภาคที่น่าตื่นเต้นในการลงทุนมากที่สุดในอีก 10 ปีข้างหน้า รัฐบาลไทยทำอย่างไรที่จะให้นักธุรกิจย้ายฐานมาตั้งบริษัทในไทย “..ผมว่าไม่มีโอกาสครั้งไหนดีเท่าโอกาสครั้งนี้อีกแล้ว..”ดร.กอบศักดิ์กล่าวอย่างเชื่อมั่น และว่า
นโยบายของรัฐบาลพยายามเอาคนรอบข้างมาเชื่อมโยง มาเป็นตลาดเดียวกัน มีโครงการต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นถนน รถไฟ ท่าเรือ สนามบิน ดิจิตอล ทั้งหมดเพื่อสร้างตลาดใหม่ โลกยุคใหม่ ประเทศไทยยังมีนโยบาย
พัฒนาเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับนโยบาย New Southern Policy ของเกาหลีใต้ นโยบาย One Belt One Road ของจีน และยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ของญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา รวมทั้งนโยบายมุ่งตะวันออก (Look East Policy) ของอินเดีย จะเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการดึงดูดการลงทุน สำหรับนักลงทุนที่ต้องการย้ายฐานการผลิตมาไทย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมไทยถึงน่าตื่นเต้นที่จะมาลงทุน
ส่วนเรื่องสงครามการค้า เป็นความท้าทายของทุกคน ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กๆ เมื่อช้างสารต่อสู้กันหญ้าแพรกก็แหลกราญ ดังนั้น สงครามค่าเงินเป็นเรื่องที่กระทบกับเศรษฐกิจไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้ จีนใช้ “ค่าเงินหยวน” ตอบโต้สหรัฐ ทำให้ไทยลำบาก เพราะกระทบกับภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว แต่การที่จีนกับสหรัฐทำสงครามทางการค้า ก็ทำให้สินค้าส่งออกของไทยบางตัวได้ประโยชน์ เพราะไทยเป็นฐานการผลิต ขณะเดียวกันสินค้าจีนที่จะส่งไปอเมริกาจะส่งมาที่ไทยก่อนแล้วจึงส่งออกไปอเมริกาอีกที
สุดท้ายเรื่อง “เจน-Z” ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากเช่นกัน ยิ่งอีก 10 ปีข้างหน้ายิ่งสำคัญอย่างมาก รัฐบาลจะจัดการอย่างไร ดร.ดาวรุ่งเศรษฐศาสตร์ กล่าวด้วยเสียงหัวเราะว่า รัฐบาลเรามาจากรัฐบาลผสมมี 19 พรรค ตอนนี้เหลือ 17 พรรค และคนจากพรรคเหล่านี้เป็น ครม.เศรษฐกิจ สิ่งที่ต้องการคือให้ ครม.เศรษฐกิจทำงานด้วยกันและไปในแนวทางเดียวกัน ซึ่งมั่นใจว่าจะจัดการตรงนี้ได้
ฉะนั้น การขยายตัวเศรษฐกิจปีนี้ 3% ปีหน้าอยากให้โต 3.5% ก็ต้องทำความเข้าใจ ซึ่งคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบก็ได้รับไปดำเนินการแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการกล่าวตอนหนึ่งของดร.กอบศักดิ์ มีเนื้อหาถูกใจผู้มาร่วมงานจนได้รับเสียงปรบมือดังลั่น คือ เรื่องการยกเลิกใบ ตม.6 สำหรับคนต่างชาติและนักท่องเที่ยวไม่ต้องมีอีก ต่อไปให้ใช้ระบบ QR code แทน ซึ่งคาดว่าอีก 2-3 เดือนจะแถลงรายละเอียด และใบ ตม.30 สำหรับคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทย ต้องรายงานตัวทุกๆ 90 วัน ต่อไปนี้ แค่กด 4 คลิ๊กในโทรศัพท์มือถือ ก็รายงานตัวได้แล้ว โดยคลิ๊กแรก-เปิดแอปพิเคชั่น คลิ๊ก2 ถ่ายรูป คลิ๊ก3.ล็อกอินโลเคชั่นในไทย คลิ๊ก4.ล็อกเอ้าท์จากระบบ ทั้งหมดนี้จะทำให้การใช้ชีวิตของคนต่างชาติในไทยง่ายมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายในงานมีแขกผู้มีเกียรติมาร่วมงานจำนวนมาก นอกจากคณะทูตและภริยาหลายประเทศแล้ว ยังมี ปองพล อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี , ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน),ดร.ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการบริหารและผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด(มหาชน), สมศักดิ์ อมรรัตนชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด จำกัด(มหาชน) หรือ ASIAN , องเอก เตชะมหพันธ์ ประธานกรรมการกลุ่มมหพันธ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์แบรนด์เฌอร่า และกระเบื้องหลังคาตราห้าห่วง ฯลฯ