เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 19 กันยายน ที่ห้องโถง มติชนอคาเดมี หมู่บ้านประชานิเวศน์1 สโมสรศิลปวัฒนธรรม จัดเสวนา “ยุวกษัตริย์ รัชกาลที่ 5” โดยศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.ชัชพล ไชยพร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง กล่าวว่า การสืบพระราชสมบัตินับแต่โบราณมาล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งมีความผันแปรและไม่แน่นอน
“พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ท่านมีความคิดชัดเจนมากเลยว่าการเป็นพระเจ้าแผ่นดินนั้นไม่ใช่เรื่องของการสืบพระราชสมบัติหรือเรื่องของสวรรค์มอบให้เป็น แต่ว่าเป็นเพราะเจ้านายและขุนนางยอมให้เป็น การเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ท่านมีประสบการณ์มาตั้งแต่รอบแรกที่ท่านไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ได้เป็นเพราะเจ้านายและขุนนางไม่ให้ท่านเป็น”
หากรัชกาลที่ 4 เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จะต้องได้ครองราชย์ก่อนสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทำให้รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง “พระราชวังนันทอุทยาน” ขึ้น มีพระราชดำริว่าเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว และหากพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติต่อจากพระองค์ พระราชโอรสพระราชธิดามิอาจประทับอยู่ในวังหลวงต่อไปได้ จึงมีพระราชดำริให้มาประทับที่พระราชวังนันทอุทยาน แต่เหตุการณ์นั้นมิได้เป็นดั่งที่ตั้งพระทัยไว้ เนื่องจาก พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่เสด็จสวรรคตเสียก่อน
ผศ.ดร.ชัชพล กล่าวเพิ่มเติมว่า รัชกาลที่ 4 ทรงมุ่งหวังที่จะให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ครองราชย์ต่อจากพระองค์สะท้อนจากในพระราชพิธีโสกันต์สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ประทับพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์บนพระราชยานคานหาม ซึ่งเป็นพระราชยานสำหรับพระมหากษัตริย์เท่านั้น แทนที่จะประทับพระราชยานกงสำหรับเจ้านายชั้นพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้า
นอกจากนี้ ในพระนิพนธ์ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าเรื่องตอนหนึ่งที่เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า รัชกาลที่ 4 หมายมอบพระราชสมบัติให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ความว่า
“เวลาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดำรัสสั่งให้เลื่อนกรมเจ้านายครั้งนั้น เสด็จประทับที่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อทรงสั่งแล้วมีพระราชดำรัสให้หาเจ้านายทั้ง 4 พระองค์นั้นเข้าไปเฝ้า ณ ที่รโหฐานตรงหน้าพระพุทธรูป แล้วมีพระราชดำรัสว่าจะทรงปฏิญาณเฉพาะพระพักตร์พระมหามณีรัตนปฏิมากรว่า เจ้านายซึ่งจะเป็นกรมขุน 4 พระองค์นี้ ถ้าใครได้ครองราชย์สมบัติต่อไปจะไม่ทรงรังเกียจเลย เจ้านาย 3 พระองค์ ต่างกราบทูลถวายปฏิญาณว่ามิได้ทรงคิดมักใหญ่ใฝ่สูง ตั้งพระหฤทัยแต่จะสนองพระเดชพระคุณช่วยทำนุบำรุงสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอให้ได้รับราชสมบัติสืบไป”
กระทั่งเมื่อความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้น เมื่อรัชกาลที่ 4 ทรงประชวรด้วยไข้ป่าหรือมาลาเรียหลังจากเสด็จหว้ากอเพื่อทอดพระเนตรเหตุการณ์สุริยุปราคาตามที่ได้ทรงคำนวณไว้อย่างแม่นยำ ขณะที่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ก็ประชวรโรคเดียวกันด้วย ครั้นเมื่อรัชกาลที่ 4 คงทราบพระทัยดีว่าจะทรงมีพระชนม์อยู่ได้อีกไม่นาน จึงทรงเรียกเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์มาปรึกษาเกี่ยวกับกิจการในภายภาคหน้า ทรงมีพระราชดำรัสให้ถวายพระราชสมบัติแก่บุคคลที่เหมาะสมตามสมควร แต่มิได้กำชับโดยตรงว่าให้ถวายพระราชสมบัติให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ และเสด็จสวรรคต วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411
และเมื่อนั้นก็ถึงการณ์แห่งความทุกข์ยากของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ยุวกษัตริย์ในพระชนมายุเพียง 15 พรรษา เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์เสด็จมาถวายน้ำสรงพระบรมศพก็มิได้ถวายเพราะทรงเป็นลมเสียก่อน จนต้องกลับไปประทับที่พระตำหนักสวนกุหลาบ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ประชวรหนักจนเป็นที่กังวลว่าจะเสด็จสวรรคตอีกพระองค์หนึ่งหรือไม่ จนคุณหญิงพัน ภรรยาของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ถึงกับออกปากพูดว่า “นี่พ่อจะอยู่ไปได้อีกสักเท่าไหร่?”
ต่อมาเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ได้เรียกประชุมเจ้านายและขุนนางเพื่อคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมจะครองราชย์สืบต่อ ผลคือในที่ประชุมเห็นควรเป็นเอกฉันท์ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ถัดไป จากนั้นได้ปรึกษาการเลือก “วังหน้า” ซึ่งได้ลงความเห็นว่าควรถวายบวรราชสมบัติแด่ พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ
แต่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนวรจักรธรานุภาพทรงไม่เห็นด้วยเพราะผู้ที่จะแต่งตั้ง “วังหน้า” ได้คือพระมหากษัตริย์ เป็นเหตุให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ไม่พอใจ ถามว่า “ที่ไม่ยอมนั้นอยากเป็นเองหรือ”พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ” จึงตรัสตอบว่า “จะให้ยอมก็ต้องยอม” การประชุมจึงเป็นอันตกลงกัน และหลังจากนั้นก็เป็นที่เล่าลือกันว่า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนวรจักรธรานุภาพไม่เสด็จออกจากวังที่ประทับของพระองค์อีกเลยเนื่องจากการปะทะกับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ในครั้งนี้
เมื่อรัชกาลที่ 5 ทรงครองราชย์โดยมีเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการนั้น พระองค์ทรงเล่าถึงความยากลำบากเมื่อต้นรัชกาล ตามความในพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ความว่า
“ในเวลานั้น อายุพ่อเพียง 15 ปีกับ 10 วัน ไม่มีมารดา มีญาติฝ่ายมารดาก็ล้วนแต่โลเลเหลวไหลก็มิได้ตั้งอยู่ในตำแหน่งราชการอันใดเป็นหลักฐาน ฝ่ายญาติข้างพ่อ คือเจ้านายทั้งปวงก็ตกอยู่ในอำนาจสมเด็จเจ้าพระยา และต้องรักษาตัวรักษาชีวิตอยู่ด้วยกันทั่วทุกองค์ ที่ไม่เอื้อเฟื้อต่อการอันใดเสียก็มี โดยมากฝ่ายข้าราชการถึงว่ามีผู้ที่ได้รักใคร่สนิทสนมอยู่บ้าง ก็เป็นแต่ผู้น้อยโดยมาก ที่เป็นผู้ใหญ่ไม่มีกำลังสามารถอาจจะอุดหนุนอันใด
ฝ่ายพี่น้องซึ่งร่วมบิดาหรือที่ร่วมทั้งมารดาก็เป็นเด็กมีแต่อายุต่ำกว่าพ่อลงไปไม่สามารถจะทำอะไรได้ทั้งสิ้น ส่วนตัวพ่อเอง ยังเป็นเด็กอายุเพียงเท่านั้น ไม่มีความสามารถรอบรู้ในราชการอันใดที่จะทำการตามหน้าที่แม้แต่เพียงเสมอเท่าที่ทูลกระหม่อมทรงประพฤติมาแล้วได้ ยังซ้ำเจ็บเกือบจะถึงแก่ความตายอันไม่มีผู้ใดสักคนเดียว ซึ่งจะเชื่อว่ารอด ยังซ้ำถูกอันตรายอันใหญ่คือทูลกระหม่อมเสด็จสวรรคตในขณะนั้นเปรียบเหมือนคนที่ศีรษะขาดแล้ว จับเอาแต่ร่างกายขึ้นตั้งไว้ในที่สมมติกษัตริย์ เหลือที่จะพรรณนาถึงความทุกข์อันต้องเป็นกำพร้าในอายุเพียงเท่านั้น
และความหนักของมงกุฎอันเหลือที่คอจะทานไว้ได้ ทั้งมีศัตรูซึ่งมุ่งหมายอยู่โดยเปิดเผยรอบข้าง ทั้งภายในภายนอกหมายเอาทั้งในกรุงเองและต่างประเทศ ทั้งโรคภัยในกายเบียดเบียนแสนสาหัส”
แต่พระองค์ก็สามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ความยากลำบากเหล่านั้นมาได้ โดยสรุปได้ว่า ทรงเริ่มจากการรักษาพระองค์ให้หายประชวรเสียก่อน ทรงปฏิบัติพระองค์ด้วยความจริงใจต่อเจ้าจอมทั้งหลายรวมถึงบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ที่เป็นพระเจ้าน้องยาเธอพระเจ้าน้องนางเธอต่างทรงไม่คิดถึงเรื่องเก่าแต่ความหลังที่เคยมีปัญหา ทรงอ่อนน้อมต่อพระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ ทรงยกย่องพระบรมวงศานุวงศ์ให้มีวาสนาเสมอความดีที่ได้กระทำ หากกระทำผิดก็ต้องว่าตามความผิด ทรงดูแลข้าราชการทั้งหลายทั้งปวง และทรงไม่อาฆาตผู้ที่วางตนเป็นศัตรูต่อพระองค์
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2413 รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา และในปีถัดมาเสด็จประพาสอินเดีย ซึ่งการเสด็จประพาสทั้งสองครั้งได้มอบแรงบันดาลพระทัยหลายประการจากธรรมเนียมและวิทยาการของชาวตะวันตก ซึ่งได้ทรงนำมาปรับใช้ในสยามหลายอย่าง เช่น เครื่องแต่งกาย (สีกากีและราชประแตน) กิจการรถไฟ การชลประทาน การรับประทานอาหารบนโต๊ะ และอื่น ๆ อีกมากมาย
กระทั่งเมื่อทรงผนวชและได้ลาสิกขาบท ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 พระองค์ก็มิได้มีฐานะเป็น “ยุวกษัตริย์” อีกต่อไป ซึ่งเมื่อถึงเวลานี้เป็นเวลาอันสุกงอมที่จะทรงปกครองบ้านเมืองด้วยพระองค์เองแล้ว และจะทรงนำประเทศสู่การเป็นรัฐสมัยใหม่ในการต่อกรกับจักรวรรดินิยมตะวันตกที่เป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวงต่อสยาม