การอพยพของ “ชาวจีน” สู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Culture ศิลปวัฒนธรรม
จักรพรรดิหมิงเฉิงจู่(จูตี้) ภาพจากร้อยเรื่องราววังต้องห้าม,2560

การอพยพของชาวจีนออกสู่ดินแดนทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ความจำเป็นทางภูมิศาสตร์อันเป็นถิ่นกำเนิดย่อมเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง เพราะพื้นที่ในประเทศจีนเต็มไปด้วยภูเขา ประชาชนแออัด พื้นที่ราบมีน้อยไม่เพียงพอต่อการทำมาหากิน ชายเมื่อแต่งงานแล้วก็มักจะยึดอาชีพการเดินทะเลเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว เดินทางไปกลับยังแถบ “หนานหยาง”(เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) และ จีน เป็นประจำ

การเดินทางและพักแรมในต่างถิ่นของพวกเขาบางครั้งใช้เวลานานเป็นปี บางครั้งเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎหมาย การปกครองในประเทศจีนจึงมีผลกระทบต่อการทำมาหากินของพวกเขามาก และเป็นเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้พวกเขาบางกลุ่มเริ่มตั้งรกรากอยู่ในต่างแดน พวกนี้มีอาชีพเสี่ยงภัย การทำมาหากินไม่คงที่แน่นอน การผจญภัยจึงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกเขา ดังนั้นจึงปรากฏว่าเมื่อเปิดเมืองท่าซัวเถา จึงมีชาวจีนจากมณฑลฮกเกี้ยนและกวางตุ้งเดินทางออกผจญภัยในถิ่นที่อยู่ใหม่เป็นจำนวนมากที่สุด

ในรัชสมัยพระเจ้าหมิงเฉิงจู่ หรือบางแห่งเรียกพระนามพระจักรพรรดิตามปีรัชศกที่ขึ้นครองราชย์ ว่า “พระเจ้าหย่งเล่อ”  ยังจัดว่าอยู่ในช่วงต้นของราชวงศ์หมิง (พระเจ้าหมิงไท้จู่ครองราชย์เป็นพระองค์แรก ต่อมาคือ พระเจ้าหมิงหุ่ยตี้ และต่อมาคือพระเจ้าหมิงเฉิงจู่) พระองค์เป็นพระโอรสองค์ที่ 4 ของพระเจ้าจูหยวนจาง ขึ้นครองราชย์เมื่อปี ค.ศ. 1403-23  มีพระทัยมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงจัดการเรื่องภายในและภายนอกประเทศให้มีความเจริญดุจเดียวกับจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นและสมัยราชวงศ์ถัง 

ซึ่งเป็นที่รู้ทั่วกันว่าจีนใน 2 สมัยดังกล่าวในพงศาวดารราชวงศ์หมิง ตอนเอเชียกลาง พระองค์โปรดให้ “เจิ้งเหอ” และ “หม่าหลิน” อำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองเดินทางออกสู่แถบหนานหยาง หรือแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน เพื่อประกาศศักดาและแสนยานุภาพของประเทศจีน  เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ เข้าไปถวายเครื่องราชบรรณาการดังก่อน รวมทั้งมีจุดประสงค์ในด้านการค้าด้วย เพราะการเข้าถวายเครื่องราชบรรณาการของนานาประเทศจะเป็นรายได้ที่ค้ำจุนประเทศจีนได้บ้าง รวมทั้งของแปลกที่ต้องพระประสงค์ขององค์พระจักรพรรดิ พระมเหสี พระญาติพระวงศ์ และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ การขาดประเทศผู้เข้าถวายเครื่องราชบรรณาการก็เสมือนหนึ่งเป็นการขาดรายได้ของประเทศ และขาดสิ่งของที่ต้องการเลยทีเดียว

“เจิ้งเหอ” เดินทางสู่แถบหนานหยาง เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1405 คือ ต้นรัชกาลพระเจ้าหมิงเฉิงจู่  หรือพระเจ้าหย่งเล่อ จนถึงสมัยพระเจ้าหมิงเหยินจง ค.ศ. 1425-26 และสมัยพระเจ้าหมิงเซวียนจง ค.ศ. 1426-35 เป็นช่วงเวลาต่อมาถึง 3 รัชกาล รวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง เป็นเวลาเกือบ 40 ปี แต่ละครั้งต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับประมาณ 2-3 ปี และในบันทึกการเดินทางได้กล่าวถึงว่าในการเดินทางครั้งที่ 2และครั้งที่ 7 คือ ช่วงปี ค.ศ. 1407-9 และ ค.ศ. 1430-33 เจิ้งเหอได้เดินทางมาถึงประเทศ “เสียนหลัว” หรือ “สยาม”

เจิ้งเหอ เป็นชาวมุสลิม เดิม “แซ่หม่า” แต่เนื่องจากแซ่ไปตรงกับแซ่ของพระมเหสีองค์หนึ่งขององค์พระจักรพรรดิ จึงได้เปลี่ยนเป็น “แซ่เจิ้ง” (ภาษาไทยเรียกว่าแซ่แต้) เขาเป็นมุสลิมที่เคร่งศาสนามาก เคยไปเม็กกะพร้อมกับบิดาแล้ว เมื่อเข้ามารับราชการเป็นอำมาตย์ได้เลื่อนตำแหน่งสูง เป็นที่ไว้วางพระทัยขององค์พระจักรพรรดิ  การเดินทางทุกครั้งของเจิ้งเหอ  เมื่อออกจากเมืองหลวงแล้ว (สมัยราชวงศ์หมิง เมืองหลวงคือเมืองปักกิ่ง) ก็จะล่องตามแม่น้ำหลิวเหอ   ที่ตำบลหลิวเหอเจิ้ง หมู่บ้านไท้สือ ของมณฑลเจียงซู แล้วออกสู่แม่น้ำใหญ่สู่ทะเล

ตลอดเวลา 3 รัชสมัยของการเดินทางสู่ดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเจิ้งเหอในราชวงศ์หมิง ราชสำนักจีนได้รับผลตามที่คาดหวัง คือประเทศต่างๆ ทางแถบหนานหยาง เริ่มส่งเครื่องราชบรรณาการเข้าไปถวายพระเจ้ากรุงจีนโดยเป็นไปในรูปแบบของการค้า หรือเรียกว่าการค้าแบบบรรณาการ ซึ่งเป็นรูปแบบของการถวายเครื่องบรรณาการสืบต่อลงมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ และในแต่ละปี บางประเทศอาจจะมีการส่งทูตไปถวายเครื่องราชบรรณาการหลายครั้ง

พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า

ทั้งนี้เพราะของที่ได้รับพระราชทานตอบกลับมานั้น จะมีค่ามากกว่าของที่นำไปถวายพระเจ้ากรุงจีนหลายเท่านัก ตลอดช่วงเวลาในสมัยรัชกาลที่ 1 นับตั้งแต่ปีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกขึ้นครองราชสมบัติจนถึงปี พ.ศ. 2397 ได้มีคณะทูตส่งเครื่องบรรณาการไปจีนมากถึง 35 ครั้ง  นับได้ว่า การถวายเครื่องราชบรรณาการดังกล่าวให้ประโยชน์ทั้งชาวจีนโพ้นทะเลและประเทศแม่ คือประเทศจีนอย่างมาก และการที่เจิ้งเหอเดินทางไปแถบหนานหยางถึง 7 ครั้งด้วยตนเองนี้ก็ได้ถือโอกาสซื้อสินค้าที่ทางราชสำนักต้องการด้วยตนเองโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง

ในการครั้งนี้ชาวจีนอพยพ หรือชาวจีนโพ้นทะเลในแถบนี้ก็ได้เขยิบฐานะในทางสังคมและทางเศรษฐกิจด้วย นับว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย แต่ผลเสียอีกอย่างที่มีต่อประเทศจีนก็คือ ชาวจีนได้อพยพออกสู่แถบหนานหยางอย่างล้นหลาม ผู้คนในแถบเมืองท่ากวางโจว เฉวียนโจว ซัวเถา และจางหลิน จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่พร้อมจะเดินทางออกแสวงโชคในดินแดนดังกล่าว พื้นที่นาไร่ที่เคยถูกแผ้วถางทำกินก็ถูกให้ปล่อยทิ้งร้างไว้ ชาวจีนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแต่เดิมมีคนจีนเข้ามาตั้งรกรากถิ่นฐานมากขึ้นแล้วก็ยิ่งแออัดมากขึ้นไปอีก

ราชสำนักหมิงได้คำนึงถึงผลกระทบทางการเมืองที่อาจมีขึ้น  อันเนื่องจากการอพยพออกนอกประเทศของผู้คน  จึงได้ตรากฎหมายขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1522 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าหมิงซื่อจง หรือพระเจ้าเจียจิ้ง โดยการสั่งห้ามไม่ให้ราชสำนักทำการค้ากับแถบหนานหยางหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีก กฎหมายที่ว่านี้ได้ส่งผลต่อการอพยพออกสู่ต่างประเทศของชาวจีนเป็นอย่างมาก จะเห็นว่าตลอด 40 ปี นับจากปีที่ใช้กฎหมายนี้จะไม่มีชาวจีนอพยพเข้าสู่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย

นอกจากนั้นในกฎหมายนี้ยังเข้มงวดคาดโทษเกี่ยวกับคนจีนอีกมากมาย แม้พวกที่อาศัยทำกินในต่างถิ่นด้วยตนยังถือสัญชาติจีนอยู่ก็เกิดความหวาดกลัวว่าจะได้รับภัยตามกฎหมายดังกล่าว ซึ่งจะทำให้ตนอาศัยอยู่ในประเทศที่ตนทำธุรกิจอย่างไม่เป็นสุข อีกทั้งไม่สามารถทุ่มเทจิตใจทำธุรกิจได้อย่างเต็มที่ บ้างก็ต้องทำการค้าแบบหนีภาษี และในช่วงนี้พวกโปรตุเกส ที่มีจุดประสงค์ในการล่าเมืองขึ้นในแถบเอเชีย  ก็ฉวยโอกาสช่วงชิงความเป็นเจ้าทางการค้าทางทะเลแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปแทนชาวจีนได้โดยอัตโนมัติ

การหาที่ทำกินที่แน่นอน และการยอมถูกผสมกลมกลืนกับชาวพื้นถิ่นในประเทศที่ชาวจีนอพยพอาศัยอยู่เริ่มมีความจำเป็นมากขึ้น เพราะพวกเขาเกิดความกังขาในสถานภาพของตนในต่างแดน เพราะราชสำนักจีนมีนโยบายไม่แน่นอนเปลี่ยนแปลงไปมา โดยมุ่งหวังเพียงผลประโยชน์จากชาวจีนโพ้นทะเลเข้าไปจุนเจือประเทศเท่านั้น  ดังนั้นชาวจีนอพยพในถิ่นต่างๆ จึงเริ่มหาที่ฝังรากฐานของพวกเขาด้วยการเข้าไปเป็นผู้บุกเบิก โดยหวังว่าจะได้เป็นประชาชนท้องถิ่นนั้นๆ ในที่สุด

ช่องแคบมะละกา

ในช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเกาะหมาก (ปีนัง) ก็ดีเปิดช่องแคบมะละกาก็ดี หรือการเปิดประเทศของฟิลิปปินส์ก็ดี ชาวจีนต่างกรูกันเข้าไปยึดครองที่ทำกิน บุกเบิก และประเทศที่พวกเขาเข้ามาอาศัยมากสุดแห่งหนึ่งก็คือประเทศสยาม กล่าวได้ว่าในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 (พุทธศตวรรษที่ 21) นั้น ชาวจีนใน 3 เขต มีบทบาทมาก คือ เขตที่ 1 สยาม จามปา และปัตตานี เขตที่ 2 คือ มะละกา อินโดนีเซีย และชวา รวมทั้งเมืองท่าต่างๆ ในแถบชายทะเล เขตที่ 3 คือ หมู่เกาะต่างๆ ของฟิลิปปินส์ โดยเขตที่ 1 และเขตที่ 2 ได้กลายเป็นการยึดครองพื้นที่ของชาวจีนฮกเกี้ยนและแต้จิ๋ว ส่วนเขตที่ 3 เป็นเขตยึดครองของชาวฮากกาโดยเฉพาะ

สำหรับช่วงเวลาในการอพยพของชาวจีนเข้าสู่ไทยแบ่งได้เป็นหลายกลุ่ม ดังนี้

กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มที่อพยพเข้ามาตั้งแต่ก่อนสมัยอยุธยา ซึ่งมักจะเป็นพวกกะลาสีเรือ พ่อค้า พวกโจรสลัด  พวกนี้เริ่มเข้ามาอยู่ที่เมืองท่าต่างๆ เช่น สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ปัตตานี ชาวจีนเหล่านี้อาจเข้ามาตั้งหลักแหล่งตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังแล้ว   กลุ่มที่ 2 คือพวกที่เข้าไทยในสมัยอยุธยา (พ.ศ. 1967-2310) การผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ ทำให้เกิดการหยุดชะงัก ชาวจีนอพยพช่วงนี้จะเป็นพวกพ่อค้า และเป็นพวกที่ประสบความสำเร็จในทางการค้าที่ศาสตราจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรียกว่าจีนเก่า

พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช ที่ทุ่งนาเชย จ.จันทบุรี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

กลุ่มที่ 3 คือพวกที่เข้ามาในสมัยพระเจ้าตากสิน (พ.ศ. 2310-25) จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2393-2411) ชาวจีนอพยพในช่วงนี้จะเป็นชาวจีนแต้จิ๋วเป็นส่วนใหญ่ เพราะพระเจ้าตากสินทรงมีเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว   กลุ่มที่ 4 เป็นกลุ่มที่อพยพเข้ามาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงปลายรัชกาล (พ.ศ. 2411-53)   กลุ่มที่ 5 เป็นช่วงที่กระแสโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ 6 จนถึงปี พ.ศ. 2493 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่รัฐบาลกำหนดให้มีชาวจีนอพยพเข้ามาน้อยที่สุด

ชาวจีนอพยพเข้ามาในไทย อาจแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ พวกจีนเก่าและจีนใหม่  จีนเก่าหรือพวกจีนแท้ หมายถึงพวกที่อพยพเข้าสู่ไทยตั้งแต่โบราณกาลมา คือ ชาวจีนอพยพกลุ่มที่ 1, 2, 3, 4 ดังได้กล่าวมาแล้ว และชาวจีนกลุ่มที่ 5 คือ พวกจีนใหม่ที่ได้อพยพเข้ามาตั้งแต่จีนมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในช่วงปี ค.ศ. 1912 ซึ่งนับมาถึงปัจจุบันนี้ก็ประมาณ 90 กว่าปีแล้ว

สำหรับพวก “จีนเก่า” จะได้รับการยกย่องจากคนไทยเป็นอย่างดี เพราะพวกเขาได้แทรกซึมเข้าสู่วงการศักดินาจนทำตัวเป็นขุนนางไทยไปแล้ว จึงมีวิถีชีวิตการประพฤติปฏิบัติแบบไทย สามารถเข้ากับชาวไทยได้อย่างแนบเนียน จนกลายเป็นตระกูลผู้ดีของชาวไทยไป 

สำหรับ “จีนใหม่” นั้น  ยังไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมไทยนัก มักก่อความไม่สงบสุขแก่ชาวไทยด้วยลัทธิชาตินิยมที่แพร่กระจายมาจากจีน บ้างก็มาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์แล้วกลับสู่ประเทศตน ไม่มีความจงรักภักดีเหมือนชาวจีนอพยพในรุ่นแรกๆ แต่พวกเขาก็ยังคงอาศัยปะปนกับชาวไทย และทำให้เกิดการผสมผสานเข้ากับคนไทยเช่นกัน แต่พวกจีนใหม่ที่อพยพเข้าไทยในช่วงที่จีนมีการเปลี่ยนแปลงทางการปกครอง อีกทั้งการเมืองก็แปรปรวนไม่มีทิศทางที่แน่นอน ฝ่ายรัฐบาลจีนก็คิดเพียงผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับจากชาวจีนโพ้นทะเล ทั้งนี้ได้รวมทั้งชาวจีนในไทยด้วย

เมื่อกระแสเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากประเทศจีนได้แพร่กระจายเข้าสู่ไทย ชาวจีนอพยพใหม่ได้เข้าไปร่วมในขบวนการด้วย ทำให้ดูเหมือนว่า ชาวจีนในไทยเป็นพวกที่ชอบก่อความไม่สงบ และกลายเป็นกลุ่มชนที่ไม่พึงปรารถนาในสังคมไทย

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

พวกจีนเก่าที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานและได้กลายเป็นไทยไปแล้วนั้นมีความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์อย่างมาก และรักประเทศไทยอย่างสุดแสน ต่างเห็นว่าพวกจีนอพยพเข้ามาใหม่เหล่านี้ทำไม่ถูกต้อง ความเกลียดชังชาวจีนจึงเริ่มขึ้น ประกอบกับรัฐบาลตระหนักถึงภัยจากผิวเหลืองมากขึ้น ความเกลียดชังชาวจีนจึงทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมากในช่วงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 1453-61) ด้วยน้ำพระทัยที่ทรงห่วงใยประเทศชาติอย่างมากถึงกับทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง  “ยิวแห่งบูรพาทิศ”  โดยทรงใช้นามปากกาว่าอัศวพาหุ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าชาวจีนจะเป็นภัยต่อประเทศ  จึงทรงประกาศนโยบายผสมกลมกลืนเพื่อให้จีนกลายเป็นไทยอย่างสมบูรณ์  รวมทั้งทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้แก่ชาวจีนในไทยอย่างมากมาย ทั้งนี้ ก็เพราะทรงหวังว่าชาวจีนในไทยจะผสมกลมกลืนเป็นไทยหมดนั่นเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงเข้มงวดกับชาวจีนมากเป็นพิเศษทั้งในด้านเศรษฐกิจและการศึกษา จึงเป็นเหตุให้ชาวจีนบางกลุ่มเอาใจออกห่างจากไทยกลับไปสู่อ้อมกอดของประเทศแม่ ความไม่เข้าใจกันระหว่างรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกับชาวจีนคงมีมาก

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ภาพจากหนังสือ ประชาธิปก พระบารมีปกเกล้า)

เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงคำนึงถึงเรื่องจีนในไทยเป็นเรื่องสำคัญสุดอย่างหนึ่ง และทรงถือเป็นพระราชภารกิจที่ต้องเสด็จให้ขวัญกำลังใจกับชาวจีน แต่เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (พ.ศ. 2481-87, 2491-2500) กลับเพิ่มความเข้มงวดกับชาวจีนมากยิ่งขึ้นในทุกด้าน ทั้งนี้ เพราะต้องการขจัดชาวจีนให้พ้นจากการกุมอำนาจทางเศรษฐกิจ เพื่อที่จะให้ชาวจีนในไทยเกิดการผสมกลมกลืนเป็นไทยได้เร็วขึ้น รัฐบาลจึงสั่งปิดโรงเรียนจีนทุกแห่ง  เพราะต้องการให้ลูกหลานจีนไปเรียนในโรงเรียนไทย ทำให้ชาวจีนบางกลุ่มโกรธแค้นรัฐบาลไทยมากยิ่งขึ้น จนกล่าวได้ว่าในช่วงนี้ชาวจีนเป็นอริกับรัฐบาลไทยเลยทีเดียว

ความจริงแล้ววิธีการของจอมพล ป. ซึ่งบังคับให้ชาวจีนเกิดการผสมกลมกลืนเป็นไปตามข้อกำหนดของรัฐบาลฝ่ายเดียวนั้น ไม่ใช่วิธีทางธรรมชาติอย่างแน่นอน  การผสมกลมกลืนจึงเป็นไปด้านเดียว คือคนจีนในไทยเป็นเพียงด้านนิตินัย  แต่ทางด้านพฤตินัยแล้วหาได้สอดคล้องกันกับนิตินัยไม่  เราจึงได้เห็น วัด ศาลเจ้า หรือโรงเจ ถูกสร้างขึ้นมาในทุกที่ที่มีชุมชนจีน พิธีกรรมทางศาสนา และประเพณีประจำปีของชาวจีนก็ยังมีการปฏิบัติกันสืบต่อมาจนทุกวันนี้ สมาคมกลุ่มภาษา สมาคมตระกูลแซ่ สมาคมบ้านเกิดก็ยังคงมีอยู่ทุกหนทุกแห่งในประเทศไทยที่มีชาวจีนอาศัยอยู่

จากหลักฐานดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ชาวจีนอยู่กันเป็นย่าน มีขนบประเพณีความเชื่อตามแบบฉบับของตนเอง มีวิถีชีวิตเฉพาะแบบซึ่งหาได้ถูกกลืนจนเป็นไทยไปโดยสิ้นเชิงไม่ ดังนั้น ปัญหาการผสมกลมกลืนระหว่างชาวจีนและไทยยังคงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษา ดังในวงวิชาการได้ตั้งเป็นข้อกังขาว่านโยบายการผสมกลมกลืนของไทยประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด  อีกทั้งนโยบายในการผสมกลมกลืนดังกล่าวก็ไม่ได้สอดคล้องกับข้อจำกัด และกฎระเบียบวิธีปฏิบัติในการแปลงสัญชาติเลย

อย่างไรก็ดี  ชาวจีนที่อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองไทย อาจกล่าวได้ว่าเป็นพวกที่โชคดีที่สุด เพราะนโยบายของประเทศไทยมิได้บังคับหรือกีดกันชาวจีนเหมือนต่างชาติที่มาจากประเทศอื่น ในทางตรงกันข้ามด้วยสังคมไทยที่เปิดกว้าง อีกทั้งความเชื่อและศาสนาที่คล้ายคลึงกัน ประกอบกับการอพยพเข้ามาอยู่ในไทยเป็นเวลานาน ชาวจีนจึงเข้าใจสังคมไทยและทำตัวให้เข้ากับเจ้าขุนมูลนายได้เป็นอย่างดี จึงนับเป็นปัจจัยเสริมให้ชาวจีนได้อาศัยอยู่ในเมืองไทยอย่างมีความสุขราวกับเป็นประเทศของพวกเขาเอง

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชาวจีนบางส่วนผสมกลมกลืนกับชาวไทยได้อย่างรวดเร็ว โดยอาจกล่าวได้ว่า ชาวจีนอพยพรุ่นแรกๆ ที่เข้ามาในไทยก่อนสมัยอยุธยาต่อลงมาถึงช่วงต้นรัตนโกสินทร์นั้นได้กลายเป็นไทย ต่างได้รับราชการเป็นขุน เป็นหลวง เป็นเจ้า เป็นพระยา และบุตรหลานของท่านเหล่านี้ได้กลายเป็นไทยไปหมดแล้ว ชาวจีนกลุ่มนี้อาจเรียกว่าพวกจีนเก่า เช่น ตระกูลไกรฤกษ์

แม้ว่าชาวจีนมีความยึดมั่นในประเพณีจีนมาก แต่เมื่อพวกเขาเข้ามาอาศัยในผืนแผ่นดินไทย ไปมาหาสู่กับชาวไทยมาตลอด ประกอบกับปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น การผสมผสานระหว่างชาวจีนและไทยจึงมีอยู่หลายด้าน ดังนี้  การผสมกลืนกลายทางด้านการค้า วัฒนธรรม ความเชื่อ และศาสนา  สิ่งที่มาพร้อมกับชาวจีนอพยพสู่ประเทศไทย คือ เรื่องของวิถีแบบจีน ทั้งการดำรงชีวิต อาหารการกิน การแต่งกาย สิ่งของเครื่องใช้ ภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ และศาสนา

การผสมกลมกลืนระหว่างไทยจีนมีมาก และนานมากจนเรามักจะกล่าวกันเสมอว่า  “ไทยจีนมิใช่อื่นไกลเป็นพี่น้องกัน” คนจีนและวัฒนธรรมจีนในสังคมไทยมิได้เป็นเรื่องที่แสดงความแปลก แตกแยก หรือเหลื่อมล้ำทางชนชาติแต่อย่างใด แต่กลับเป็นตัวบ่งชี้ถึงความสมานฉันท์ ความสันติสุข ความร่วมมือที่ชาวจีนและไทยมีด้วยกันมาโดยตลอด  เราอาจเห็นความผสมผสานในด้านต่างๆ ได้ดังนี้

จากการค้าแบบบรรณาการในสมัยราชวงศ์หมิง ทำให้ชาวไทยได้รู้จักสินค้าจากจีนใหม่ๆ หลายชนิด อัญมณี เครื่องเคลือบ เครื่องลายคราม ผ้าต่วน ผ้าไหม ผ้าแพร ผ้านานกิง กระเบื้องมุงหลังคา กระเบื้องปูพื้น พัด งาสลัก เครื่องประดับทำด้วยโลหะ หนัง เงิน หม้อทองเหลือง หมึกจีน ทองแท่ง ขนมหวานนานาชนิด ผักดอง ผลไม้ตากแห้ง ใบชา และเครื่องยาจีน สิ่งของต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นที่นิยมชมชื่นของชาววัง ทุกครั้งเมื่อเรือบรรณาการเทียบท่า ของต่างๆ ตามพระราชประสงค์จะถูกส่งไปในวัง แล้วของที่เหลือคือของขายให้สามัญชนทั่วไป

เยาวราช

ชาวจีนได้ย้ายตลาดบ้านจีนจากประเทศจีนมาไว้ที่เยาวราช แถวสำเพ็ง จะมีร้านค้าเป็นย่านการค้าขายของจีนหมดทุกอย่าง บริเวณสำเพ็งที่กล่าวก็คือครอบคลุมบริเวณตรอกบ้านพระยาอิศรานุภาพ สะพานหัน ศาลเจ้าเก่า กงสีล้ง (ราชวงศ์) วัดสามปลื้ม ตรอกเต๊า ตรอกพระยาไกร  ตรอกโรงกะทะ  ตรอกอาจม  ตลาดน้อย  ตลาดวัดญวน  ซึ่งก็คือบริเวณที่เราเรียกว่าเยาวราช-เจริญกรุงในทุกวันนี้ เราจะสามารถหาซื้อของจีนได้หมดทุกชนิด ตั้งแต่อาหารการกิน เครื่องนุ่งหุ่ม เครื่องยาสมุนไพร และขนม ธูป เทียน สำหรับกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้หมดทุกอย่าง

สำเพ็งในอดีต (ภาพไปรษณียบัตรเก่า)

จากนิราศชมตลาดสำเพ็งของนายบุศย์ ซึ่งเชื่อว่าแต่งนิราศนี้หลังปี 2455 อันเป็นช่วงสมัยรัชกาลที่ 6 ได้กล่าวถึงผ้าแถบสำเพ็งหลากหลายชนิด และมีแต่แขกขายผ้า ยังไม่มีจีนขายผ้า โดยช่วงนั้นจีนคงไปทำอาชีพอื่น เขาได้พูดถึงตรอกซอยในสำเพ็ง ตรอกยายเต๊า ตรอกอาเนี่ยเก็ง และตรอกโรงคราม ตรอกแตง ตรอกโรงกะทะ จะมีพวกโสเภณีจีนมากมาย พวกชายจีนก็มีทั้งพวกกุลี และลากรถเจ็ก ที่สำเพ็งสองข้างทางมีตึกเก๋งมากมาย มีทั้งร้านขายยา ผลไม้ พระพุทธรูป เครื่องแก้ว เพชรพลอย มีบ่อนเล่นการพนันของเจ้าสัวฮง ที่ตรอกแตงจะมีแต่จีนขายของจีน ทั้งตรอกเล็กซอยน้อยคนจีนคนไทยเดินกันขวักไขว่ ในช่วงนี้จีนได้เริ่มธุรกิจโรงรับจำนำ

ชาวจีนแต้จิ๋ว ยังได้นำความรู้ในการทำน้ำตาลทรายเข้าสู่เมืองไทยตั้งแต่ต้นสมัยรัตนโกสินทร์  การทำสวนผักอย่างเป็นล่ำเป็นสัน  การทอผ้าด้วยกี่กระตุกของชาวจีนแคะ (ฮากกา)  สำหรับทางด้านการค้านั้น สิ่งที่ชาวจีนนำเข้ามาที่สำคัญที่สุดก็คือ ธุรกิจการเป็นตัวกลางติดต่อธุรกิจ  และการทำร้านค้าปลีก ขายส่ง  อันทำให้ชาวจีนประสบความสำเร็จทางด้านการค้าจนมีฐานะร่ำรวย ดังปรากฏในประวัติศาสตร์ของนักธุรกิจระดับแนวหน้าหลายท่านในประเทศไทย

สิ่งที่เข้ามาพร้อมกับจีนอีกด้านหนึ่งคือ ด้านวัฒนธรรม ความเชื่อ และศาสนา ทางด้านศิลปกรรม ซึ่งเป็นหลักฐานที่เห็นได้ชัด ทั้งทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ที่ใดที่ชาวจีนอาศัยอยู่ก่อนย่อมมีรูปแบบบ้านเรือนและศาสนสถานที่เป็นศูนย์กลางรวมใจของชาวจีน ตึกแถวโบราณที่ถนนเก่าของจังหวัดสงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช รูปแบบทางสถาปัตยกรรมของสมาคมจีน วัด ศาลเจ้าบ้านแบบจีนที่กรุงเทพฯ เราก็จะพบร่องรอยของสถาปัตยกรรมอยู่มากเช่นกัน

ศาลเจ้าจีน

หากนับตั้งแต่ก่อนสร้างกรุงเทพฯ มาถึงช่วงประมาณปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็จะมีศาลเจ้าของชาวจีนอยู่ 163 ศาล วัดจีน 13 แห่ง และโรงเจ 15 แห่ง  และจากสถานที่ตั้ง ศาลเจ้า วัดจีน และโรงเจ ก็จะทำให้ทราบได้ว่าชาวจีนตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ ต่อมาจนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 อาศัยอยู่ในบริเวณใดของกรุงเทพฯ  หากดูทางด้านการผสมผสานของความงาม จากสถาปัตยกรรมไทยและจีนแล้ว เห็นได้ว่าวัดราชโอรส วัดราชนัดดา วัดนางนอง วัดหนัง วัดเศวตรฉัตร  วัดโปรดเกศเชฏฐาราม  วัดเทพธิดาราม  วัดมหรรณพาราม  ล้วนเป็นวัดที่มีศิลปกรรมที่มีรูปแบบผสมผสานระหว่างไทยกับจีนทั้งสิ้น

พระที่นั่งเวหาสน์จำรูญ พระราชวังบางปะอิน (ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก CHULALONGKORN)

สถาปัตยกรรมจีนที่สร้างเป็นพระที่นั่งที่เป็นแบบจีน และสวยงามอันเป็นที่กล่าวขวัญกัน และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของอยุธยาก็คือ พระที่นั่งเวหาสน์จำรูญ ในพระราชวังบางปะอิน ที่สร้างขึ้นในสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระยาโชฎึกราชเศรษฐี ชาวจีนในไทยเป็นผู้สร้างถวาย ส่วนประกอบของสถาปัตยกรรมทุกชิ้นส่งตรงมาจากเมืองซัวเถา มณฑลกวางตุ้งทั้งหมด

วัดเล่งเน่ยยี่

ในด้านการผสมผสานทางด้านศาสนา ประเพณีระหว่างชาวจีนและไทยนั้น ดูจะมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าประเด็นอื่นๆ นัก สังคมไทยเป็นสังคมพุทธศาสนาหินยาน ในขณะที่ชาวจีนนับถือศาสนาพุทธมหายาน แต่การปรับรูปแบบการดำรงชีวิตของชาวจีนให้เข้ากับวิถีไทยมีมาแล้วตั้งแต่อดีตจนถึงรัตนโกสินทร์  และต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้  กล่าวได้ว่าเป็นการผสมความเชื่อได้อย่างแนบเนียน ดังเช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สร้างวัดมหายาน คือ วัดเล่งเน่ยยี่  แล้วพระราชทานชื่อวัดว่า  วัดมังกรกมลาวาส  เพื่อให้ชาวจีนประกอบศาสนกิจ

นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภกบำรุงพระพุทธศาสนา และพระราชทานสมณศักดิ์ให้แก่พระภิกษุจีนด้วย สำหรับด้านพิธีกรรมนั้น ในงานพระศพของเจ้านายบางพระองค์ก็ให้จัดอย่างมหายาน คือ มีพิธีกงเต๊ก ผสมผสานกับการสวดอภิธรรม ดังเช่น ครั้งที่จัดพิธีกงเต๊กถวายสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2528 

ชาวจีน 5 กลุ่มได้อพยพเข้ามาอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร  ตั้งแต่ก่อนสมัยอยุธยามาจนปัจจุบันนี้ พวกเขาอยู่ในไทยอย่างมีความสุข แม้อาจจะมีบางส่วนถูกกลมกลืนเป็นไทยไม่หมด หรือบางส่วนไม่ยอมถูกผสมกลมกลืน แต่นโยบายของรัฐบาลไทยที่เปิดกว้าง อีกทั้งการปฏิบัติต่อชาวจีนโดยไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ชาวจีนก็คงต้องถูกผสมกลมกลืนไปเอง โดยอัตโนมัติด้วยกาลเวลา