นักร้องนำวงคาราเมล เผยสูตรปูดอง-น้ำจิ้มซีฟู้ด สูตร “พริกเกลือ”
จากคนที่ไม่มีความรู้เรื่อง ปูไข่ดอง เคยทดลองทำตามยูทูบ แต่ปรากฏกินไม่ได้ จนวันหนึ่งลองผิดลองถูกคิดสูตรปูดองเอง ใช้น้ำปลาสามรสที่ปรุงขึ้นเอง ทำน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตร “พริกเกลือ” ในช่วงเเรกขายได้วันละ 3-5 ตัว ต่อมาลูกค้าบอกต่อขายดีเพิ่มวันละ 150 ตัว ขายดีเตรียมส่งออกแล้ว
ด้วยความหวานของเนื้อปูสดๆ และไข่ปูมันๆ ที่เข้ากันดีกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ ทำให้ “ปูไข่ดอง” กลายเป็นหนึ่งในเมนูยอดนิยมยุคนี้ ซึ่งนอกจากจะหาทานได้ตามร้านอาหาร ยังมีร้านปูไข่ดองที่ขายผ่านทางออนไลน์ผุดขึ้นมารองรับความต้องการอีกเพียบ
หนึ่งในนั้นคือ “บ้านครูปูไข่ดอง” ของ ป๋อม-เจนนรงค์ นราศรี นักร้องนำวงคาราเมล (Karamail) แห่งค่าย Five Four Records (ไฟว์ โฟร์ เรคคอร์ด) ที่เริ่มต้นธุรกิจจาก “ความไม่รู้”
“บ้านผมอยู่จันทบุรี แล้วเป็นช่วงที่วงคาราเมลงานเริ่มน้อย ผมกลับไปอยู่บ้านบ่อยเลยอยากลองหาอะไรที่ใกล้ตัวทำดู เพราะจันทบุรีติดทะเล แล้วเพื่อนสมัยมัธยมบางคนก็เลี้ยงปู บางคนมีบ้านอยู่แถบอำเภอแหลมสิงห์ที่เป็นป่าชายเลน ซึ่งแหล่งปูที่อุดมสมบูรณ์จะอยู่แถวป่าชายเลน ผมเลยมีไอเดียที่อยากลองทำปูไข่ดอง” นักร้องหนุ่ม เล่า
ก่อนจะสารภาพ “ผมไม่เคยมีความรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย แต่อาศัยที่ชอบทาน พออยากทำก็ไปเสิร์ชอินเตอร์เน็ต ดูวิธีทำของเจ้าต่างๆ ในยูทูบ เชื่อไหมว่าที่ผมลองทำตามทุกอันกินไม่ได้เลย จนผมรู้สึกว่ามันได้ท้าทายตัวเอง ทำยังไงถึงจะทำได้อร่อย อยากเอาชนะตัวเอง แล้วก็เอาชนะที่อื่นด้วยเลยสู้กับมันเต็มที่”
ช่วงแรกเขาจึงหมดเงินไปเป็นหมื่น เพื่อซื้อปู ซื้อน้ำปลามาดองแบบลองผิดลองถูก พร้อมกับจดขั้นตอนการทำไว้อย่างละเอียด กระทั่งได้สูตรถูกใจที่สุด นั่นคือ การนำปูที่น็อกน้ำแข็งมาขัดกระดองให้สะอาด ตัดเล็บ ตัดครีบ ตัดนม จากนั้นนำไปวางในกล่องแล้วราดด้วยน้ำปลาสามรสที่กวนไว้ให้ท่วมตัวปู ก่อนหงายตัวปูเพื่อราดน้ำปลาเข้าไปเล็กน้อยก็จัดการปิดฝากล่อง ซีลพลาสติกให้เรียบร้อย และนำไปแช่ช่องแข็งที่ตั้งอุณหภูมิไว้พอดีเพื่อให้ปูแข็งภายใน 12 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นน้ำปลาจะซึมเข้าตัวปูมากเกินไปและเนื้อปูจะกลายเป็นน้ำแข็ง ไม่ได้กลายเป็นวุ้น
ส่วนน้ำจิ้มซีฟู้ดนั้นเป็นสูตร “พริกเกลือ” ของจันทบุรี ที่ใช้พริกขี้หนูสวนเม็ดเล็กสีเขียว 70 เปอร์เซ็นต์ เพื่อความหอม สีแดง 30 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มความเผ็ด มาตำกับกระเทียมไทย เกลือ ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำมะนาวแท้ๆ ที่สำคัญ ไม่ว่าจะใช้ปริมาณมากเพียงใดก็ต้องใช้ครกตำเท่านั้น
โดยป๋อมบอก “ตอนแรกไม่มั่นใจเลยส่งให้เพื่อนที่ชอบกินปูดองกิน ผมก็แอบสั่งเจ้าดังๆ มากินเอง แล้วเพื่อนบอกว่าของเรามาถูกทางแล้ว ไม่ว่าจะน้ำจิ้ม หรือความสดของปู ความหอมของน้ำปลา เพราะเขากินแบรนด์อื่นๆ มาก็ไม่เท่านี้เลยเกิดความมั่นใจว่าต้องขาย”
“แรกๆ ทำขายวันละ 3-5 กล่องในเฟซบุ๊กตัวเอง ไม่มีแบรนด์ ไม่มีโลโก้ ใส่กล่องพลาสติกใสๆ ปรากฏว่าขายดีเลยต้องทำแบรนด์ชื่อ “บ้านครูปูไข่ดอง” เพราะพ่อแม่ผมเป็นครูทั้งคู่ แล้วโชคดีตรงที่ระหว่างนั้น ผมได้ไปเสนอร้านอาหารร้านหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่เขามี 2 สาขา เสนอทิ้งไว้เป็นเดือนเลย พอผมทำแบรนด์เสร็จ ร้านนี้ก็ตอบตกลงที่จะเอาปูไข่ดองของเราไปลง ตรงนี้เป็นจุดเปลี่ยนของผม”
จากที่เคยมีแค่ตู้แช่แข็งซึ่งซื้อไว้ตอนเริ่มทำขาย เพราะขับรถไปฝากแช่ที่ร้านไอศกรีมของญาติต่างอำเภอไม่ไหว ป๋อมก็เริ่มดัดแปลงหลังบ้านเป็นโรงงานเล็กๆ มีการซื้ออ่างสำหรับล้างปูเพิ่ม ซื้อเครื่องซีลพลาสติก รับสมัครคนงานมาอีก 3 คน รวมแล้วลงทุนราวๆ 300,000-400,000 บาท ซึ่งนับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าทีเดียว
“ตอนนี้เราขายได้ประมาณ 150 ตัว ต่อสัปดาห์ ถ้าเป็นขายปลีกในตลาดออนไลน์อย่างเดียวถือว่าเยอะ เท่ากับได้เงินครึ่งแสนต่อสัปดาห์เลย แต่ว่าสำหรับผมยังไม่เยอะมากเพราะเราส่งร้านอาหาร 100 ตัว ส่วนที่เหลือเป็นการขายปลีก ซึ่งร้านอาหารไม่ใช่เป้าหมายของผม ผมกะตีตลาดออนไลน์ เพราะถ้าเราขายปลีกหรือออกบู๊ธก็จะได้เต็มๆ ส่วนทางร้านอาหารเขารับราคาส่ง กำไรจะน้อยลงไป จะได้ปริมาณแทน แต่ก็ถือเป็นผลพลอยได้ที่ดี” เขาแจง
พร้อมให้ความเห็น “ถ้าจะประสบความสำเร็จ ผมมองว่าวันหนึ่งควรขายได้ 50 ตัว ซึ่งผมก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะโตได้ขนาดไหน แต่สำหรับวันนี้ทิศทางมันดีทั้งที่ยังไม่ได้โปรโมตอะไรในออนไลน์มาก มันจะโตได้ขนาดไหนก็ต้องขึ้นอยู่ที่ลูกค้าและความสามารถของผมด้วย”
“ผมไม่เคยถามลูกค้าว่าทำไมสั่งของผม” ป๋อม เล่า
“แต่ในมุมของผมไม่ได้กลัวแบรนด์ใหญ่ และไม่ได้ตั้งใจจะไปแข่งกับเขา ผมมองว่าตลาดปูไข่ดองตอนนี้มันยังไม่กว้าง ไม่เหมือนอาหารเสริม ยังเป็นตลาดของกินที่หากินยากอยู่ ถ้าแบรนด์ใหญ่ขายในกรุงเทพฯ หรือทั่วประเทศได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ผมขอแค่ 10 เปอร์เซ็นต์”
“แล้วก่อนขายผมดูราคาแต่ละแบรนด์ เราก็ขายราคาพอๆ กัน ไซซ์ S 350 บาท M 450 บาท L 600 บาท XL 750 บาท และ XXL 950 บาท ผมเชื่อว่าถ้าวันหนึ่งคนเปิดใจให้ร้านใหม่ แล้วเรามั่นใจว่าของเราอร่อยกว่า เขาก็ต้องเปลี่ยนร้านมากินของเรา” นักร้องหนุ่ม บอกอย่างมุ่งมั่น
โดยนอกจากเมนูปูไข่ดองน้ำปลาสามรส เขายังมีให้บริการกุ้งแช่น้ำปลาสามรส ปูม้านึ่งแกะเปลือกพร้อมทาน และน้ำพริกปูไข่ที่หาทานยาก ซึ่งสามารถโทรสั่งที่ (099) 625-3566 หรือทางไลน์ @baankrupookaidong แต่ตอนนี้มีจัดส่งแค่เฉพาะในกรุงเทพฯ และจันทบุรีเท่านั้น
ป๋อมบอกด้วยว่า “ตอนนี้ผมเปิดตลาดออนไลน์ในกรุงเทพฯ แต่ผมก็มองตลาดในต่างจังหวัดและตลาดต่างประเทศไว้ มีคุยกับที่ สปป.ลาว ที่นั่นมีอยู่แบรนด์เดียวแล้วขายดีมากเพราะหากินยาก แต่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดว่าถ้าไปขายแล้วจะอะไรยังไง มองว่ามันเร็วไปด้วยซ้ำ”
“แล้วก็มีรีสอร์ตที่โคราชติดต่อมาอยากเอาไปลง แต่ผมบอกว่ายังไม่ดีกว่า มองว่าถ้ามันโตเร็วแล้วตั้งตัวไม่ทัน กลัวหาปูไม่ทัน บุคลากรที่ทำปูก็ยังหาอยู่ ตอนนี้หามาได้ 3 คนก็ยังทันกับการทำปู 150 ตัว เพราะตัวหนึ่งใช้เวลาทำนานเพื่อให้สะอาดที่สุด ถ้าวันหนึ่งที่ สปป.ลาว 100 ตัว โคราช 100 ตัว สัปดาห์หนึ่งรวม 300-400 ตัว ผมยังไม่มั่นใจ ผมกลัวว่ามันจะออกมาไม่ดี เลยประคองตรงนี้ไว้ให้ดีที่สุดก่อน”
ไม่ใช่แค่แนวคิด “ก้าวไปช้าๆ แต่ทว่ามั่นคง” เรื่อง “การทำบัญชี” ก็เป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจสำหรับเขา หลังได้เรียนรู้จากธุรกิจดีท็อกซ์ไฟเบอร์ “Pommie New Balance” ที่ทำอยู่
“ผลิตภัณฑ์ของผมขายดีมาก ยอดขายเป็นหลักแสนบาทต่อเดือน แต่ผมใช้เงินแบบทำมาใช้ไป เราเอากำไรมาใช้ อยากกินอะไร อยากซื้ออะไรก็ซื้อ ผมไม่ทำบัญชีเพราะคิดว่านี่คือเงินผม ผมโกงก็โกงตัวเอง ทำคนเดียว ไม่มีหุ้นส่วน ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมาเรามีเงินใช้ก็จริง แต่มันไม่เห็นเป็นกำไรเป็นกอบเป็นกำ” เขาเล่า
และว่า “ผมเลยจำเป็นบทเรียนมาใช้กับล็อตใหม่ของ Pommie New Balance และธุรกิจปูก็จะไม่เป็นแบบนั้น พ่อผมบอกเลยว่าต้องทำบัญชีรายรับรายจ่ายและต้องละเอียดมากๆ บาทเดียวก็ไม่ได้ ทุกครั้งปูออกกี่ตัวต้องจด ต้องเช็กสต๊อก ต้องเช็กกำไร เช็กทุน”
“จริงๆ ผมก็มีหวั่น ตอนจะซื้อของตั้งโรงงานทำปูใช้เงินเป็นแสน ถามตัวเองว่าเอาจริงแล้วเหรอ สุดท้ายแล้วคำตอบคือ เรามาไกลเกินกว่าที่จะกลับลำ ถ้ากลับวันนี้เท่ากับแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มอะไร แพ้ใจตัวเอง ถ้าแพ้วันข้างหน้ายังดีกว่าเพราะเราเริ่มทำมันไปแล้ว ได้ลุยกับมันเต็มที่”
“แล้วสิ่งที่ผมเจออย่างปัญหาต่างๆ มันทำให้ได้ความรู้ทุกวัน สิ่งที่ทำมันสอนให้เราต้องพลิก ต้องเปลี่ยน ต้องปรับ ถ้าไม่ทำก็ไม่มีทางรู้ ไม่มีทางเห็นปัญหา ไม่มีทางแก้ปัญหา แล้วสุดท้ายก็จะไม่มีวันสำเร็จ” เขาว่าทิ้งท้าย
ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์
ผู้เขียน : กัญญ์วรา ศิริสมบูรณ์เวช