ทำบลูเบอร์รี่ชีสพายสไตล์แม่บ้านมือใหม่ ง่ายๆ ไม่ง้อเตาอบ

Recipes สูตรอาหาร

เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่า คนเรานั้นมีอยู่ 2 กระเพาะ คือกระเพาะของคาว และกระเพาะของหวาน เพราะต่อให้กินอาหารคาวอิ่มแล้ว กระเพาะของหวานก็ยังว่าง กินนั่นกินนี่ได้อยู่ เหมือนเป็นคำกล่าวประชด แต่จริงๆ แล้วก็มีหลักทางวิทยาศาสตร์อ้างอิงคำกล่าวนี้อยู่นะเออ

เวลาที่เราเห็นขนมหวานหน้าตาน่ารับประทานแล้วเกิดอาการลืมตัวว่ากินอิ่มไปแล้วนั้น เป็นเพราะว่าต่อมใต้สมองเราหลั่งสารอัลฟาเอนโดรฟีน ส่งไปยังกระเพาะอาหารว่าเราอยากกินอันนี้อีก กระเพาะของเราก็ตอบรับคำสั่งโดยการสร้างสารออริซิน กระตุ้นให้กระเพาะช่วงล่างบีบตัวเพื่อขนย้ายอาหารที่เราเพิ่งกินอิ่มก่อนหน้านี้ไปยังลำไส้ใหญ่ ทำให้กระเพาะเรายังเหลือพื้นที่อีกนิดไว้กินของหวาน

แต่ในช่วงเวลาที่หลายๆ คนกักตัวอยู่บ้านแบบนี้ จะออกไปคาเฟ่หรือไปร้านเค้กก็ลำบากใช่ไหมหล่ะ? มาพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสด้วยการเข้าครัวทำกินเองซะเลย ใส่ครีมใส่เนยที่ชอบได้ไม่อั้น แถมราคาประหยัดและไม่เสี่ยงต่อการออกไปรับเชื้อนอกบ้านด้วยค่ะ

สูตรบลูเบอร์รี่ชีสพายสไตล์แม่บ้านมือใหม่

บลูเบอร์รีชีสพายวันนี้เป็นสูตรไม่ง้อเตาอบค่ะ แม้แต่คนที่ไม่เคยเข้าครัวก็ลองทำทานเองได้ไม่ยาก ในครั้งนี้ผู้เขียนใช้บลูเบอร์รี่สดๆ จากไร่ในเขตโยอิจิ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกองุ่น และเป็นที่ตั้งของไร่ไวน์และโรงกลั่นวิสกี้ที่มีชื่อเสียงของฮอกไกโด อย่าง Nikka นั่นเองค่ะ

ส่วนผสมฐาน
แครกเกอร์ ตรา Ritz 31 แผ่น
เนยละลาย 70 กรัม

ส่วนผสมเนื้อมูส
ครีมชีสฟิลาเดเฟีย 200 กรัม
วิปปิ้งครีม 100 มิลลิลิตร
น้ำเลม่อน 20 มิลลิลิตร
เจลาติน 5 กรัม
น้ำเปล่า 20 มิลลิลิตร
นมข้น
ไข่ไก่ (แยกเอาแต่ไข่แดง) 2 ฟอง

ส่วนผสมซอสบลูเบอร์รี่
แยมบลูเบอร์รี่
บลูเบอร์รี่สด
น้ำเปล่า

วิธีทำ

  1. นำแครกเกอร์ใส่ถุงซิปล็อค บดให้ละเอียด
  2. นำเนยไปละลายในไมโครเวฟ 600 วัตต์ 10-20 วินาที (ผู้เขียนใช้เนยยี่ห้อ Trappist ของฮอกไกโด เป็นเนยที่หอมมันมากๆ)
  3. ทาเนยให้ทั่วพิมพ์ทำทาร์ตแบบถอดก้นได้
  4. กรุพิมพ์ด้วยแครกเกอร์คลุกเนย ใช้ด้านหลังของช้อนกดให้แน่น แล้วนำฐานที่กรุเรียบร้อยแล้วไปแช่เย็นประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อให้ฐานเซ็ตตัว
  5. ตีไข่แดงในอ่างผสมให้เข้ากัน
  6. ตามด้วยครีมชีส
  7. ผสมน้ำเปล่ากับเจลาติน รอให้เจลาตินดูดซึมน้ำให้หมด แล้วนำเข้าไมโครเวฟ 600 วัตต์ นาน 30 วินาที แล้วเติมเจลาติน น้ำเลม่อน วิปปิ้งครีม และนมข้นลงไปในอ่างผสม ตีด้วยตะกร้อมือหรือตะกร้อไฟฟ้าให้เข้ากัน ชิมให้ได้รสเปรี้ยวหวานตามต้องการ
  8. เทมูสที่ทำไว้ลงในฐานที่แข็งตัวแล้วเกลี่ยให้เข้ากัน หรือถ้าใครไม่มีพิมพ์แบบถอดก้น ทำใส่แก้วเล็กๆ ก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นแบบแก้วไม่ต้องรอให้ฐานเซ็ตตัว ตักมูสที่ผสมไว้ลงไปได้เลย
  9. นำมูสที่เทลงในพิมพ์คลุมพลาสติกแล้วนำไปแช่เย็นประมาณ 1 ชม.
  10. แต่งหน้าด้วยซอสบลูเบอร์รี่ โดยนำบลูเบอร์รี่สดไปเคี่ยวน้ำเปล่าและแยมบลูเบอร์รี่ ตกแต่งด้วยวิปครีม เลม่อน และใบพาร์สลี่ย์
  11. ถ้าใช้พิมพ์แบบถอดได้ให้ดันก้นพิมพ์ขึ้นมาเพื่อถอดพายออกจากทาร์ต แล้วหั่นรับประทานเป็นชิ้นเล็กๆ หรือถ้าใช้แบบแก้วก็เสิร์ฟเป็นแก้วไปเลยไม่ยุ่งยาก

เคล็ด (ไม่ลับ) ฉบับแม่บ้าน

  • ใช้แครกเกอร์ยี่ห้อ Ritz เพราะเนื้อแห้งและเบา บดง่ายดีค่ะ
  • ถ้าชอบมูสเนื้อละเอียด หลังจากตีส่วนผสมให้เข้ากันด้วยตะกร้อไฟฟ้าแล้ว ให้ตีด้วยตะกร้อมือซ้ำอีกรอบ จะได้เนื้อมูสที่ฟู เนียน นุ่ม
  • เจลาตินเวลาเอาไปเวฟให้ใช้แผ่นแรปพลาสติกคลุมด้วย ไม่งั้นเจลาตินจะแห้ง
  • เลม่อนที่ขายในฮอกไกโดส่วนใหญ่มาจากประเทศชิลีค่ะ ลูกละ 170-180 เยน เปลือกหนาและมีรสเปรี้ยว ผู้เขียนจึงเลือกใช้มะนาวที่ปลูกในญี่ปุ่นแทน ราคาแพงกว่า ประมาณลูกละ 270-280 เยน แต่ว่าเปลือกบาง รสชาติเปรี้ยวอมหวาน แถมมีกลิ่นหอมกว่าเลม่อนจากชิลีด้วยค่ะ
  • วิธีถอดเค้กออกจากพิมพ์ ทำได้ง่ายๆ โดยการใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เวฟ 20 วินาที แล้วค่อยๆ ประคบรอบพิมพ์สแตนเลส ให้เนยละลาย แล้วค่อยๆ ดันออกจากพิมพ์

ที่มา : Sanook