ในบรรยากาศที่รัฐบาลเริ่มจะผ่อนคลายให้ร้านอาหารเปิดให้บริการนั่งรับประทานในร้านได้แล้วตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป แม้จะยังจำกัดนั่งโต๊ะละ 1 คน แต่ก็คงพอทำให้ทั้งร้านอาหาร และ คนทั่วไปได้คลายความตึงเครียดกันลงบ้าง
ถึงอย่างนั้นใครที่อยากออกมานั่งเปลี่ยนบรรยากาศ ก็อย่าลืมดูแลสุขอนามัยของตัวเองระหว่างเดินทางกันให้ดี ก่อนมองหาร้านที่น่าสนใจ หย่อนตัวหย่อนใจกับของอร่อยตรงหน้า แล้วกลับบ้านด้วยความฟิน
ที่จะแนะนำหลังคลายล็อกครั้งนี้ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์อิซากายะ “ซูม่า” โรงแรมเซนต์ รีจิส ตรง BTS ราชดำริ
แม้ว่าจะยังสังสรรค์ไม่ได้ดังใจนัก แต่ที่นี่ก็มีอาหารที่มีแบบฉบับของตัวเอง โดดเด่นน่าสนใจมากพอที่จะไปนั่งคนเดียวก็เพลิดเพลินได้
แต่ถ้าทุกอย่างคลี่คลายสู่สถานการณ์ปกติเมื่อไหร่ ที่นี่คือแหล่งสังสรรค์ที่จดไว้ในลิสต์! ห้ามพลาด!
ซูม่า มีต้นกำเนิดสาขาแรกเมื่อปี 2545 อยู่ที่ไนท์สบริดจ์ ย่านสุดหรูใจกลางลอนดอน มีแนวทางในการนำเสนออาหารดั้งเดิมของญี่ปุ่นมาปรับปรุงเป็นสไตล์ที่มีเอกลักษณ์ทำให้ซูม่าประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม
ต่อมาขยายสาขาไปเมืองใหญ่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง (2550) ดูไบ (2551) อิสตันบูล (2551) ไมอามี (2553) คาบสมุทรดาซ่า (2556) อาบูดาบี (2557) นิวยอร์ก (2558) โรม (2559) ลาสเวกัส (2560) และล่าสุดในบอสตัน (2562) ส่วน “ซูม่า” กรุงเทพฯ เปิดบริการเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2554
ในห้องอาหารสิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้แทบจะทันที คือ บรรยากาศของความผ่อนคลาย ได้รับการออกแบบจากบริษัทตกแต่งภายในชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง “ซูเปอร์ โปเตโต้” มีหลักในการออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ด้วยการผสมผสานธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เข้าด้วยกัน
การให้บริการอาหาร จะมาจากครัว 3 ส่วน คือ ครัวหลักที่ปรุงเมนูอาหารญี่ปุ่นร่วมสมัย ซูชิบาร์ที่ดูแลโดยเชฟซูชิโดยเฉพาะ และเตาโรบาตะ ซึ่งเป็นการปรุงอาหารที่มีที่มาจากวิธีการทำครัวของชาวประมงในภาคเหนือของญี่ปุ่น
เมนูที่นี่มีให้เลือกหลากหลายมาก ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ว่า “move away from traditional” ทำให้อาหารถูกรังสรรค์ออกมาได้มีเอกลักษณ์ที่แตกต่าง แต่เรื่องรสชาติยังคงความเป็นญี่ปุ่นอย่างหนักแน่น วันนี้จะมาแนะนำไฮไลท์เด่นๆ กัน
เริ่มจาก “เต้าหู้รมควันย่างราดมิโซะรสเผ็ดและซอสเท็นซุยุ” (Grilled tofu with spicy miso and mushroom tentsuyu sauce) 390++ บาท
สำหรับจานนี้ ตัวเต้าหู้ก่อนจะมาย่างเชฟจะนำไปหมักกับงาก่อน เพื่อให้ซึมเข้าไป เมื่อนำมาย่างจะได้กลิ่นสโมกกี้ ตรงกลางจะมีซอสสไปซี่มิโสะ ให้รสชาติเผ็ดหลังกินเต้าหู้ วิธีรับประทานจะราดซอสเท็นซุยุลงไป แล้วคีบกินทั้งชิ้น
“ผัดราเมงผักรวมปรุงรสด้วยซอสรสเผ็ด” (Stir fried ramen, seasonal vegetables nori and dried chilli) 430++ บาท คีบกันคนละหมุบคนละหมับอร่อยเด็ดขาดจริงๆ
“เนื้อปลาแล่บางม้วนสลัดมิซูน่าราดซอสวาฟู” (Sashimi salad with Japanese plum and wafu dressing) 480++ บาท จานนี้เป็นเมนูซิกเนเจอร์ ราดด้วยซอสเป็นวาฟูเป็นซอสผักออกเปรี้ยว สดชื่น
“กุ้งขาวเสิร์ฟพร้อมมายองเนสรสเผ็ด” (white shrimp with chili mayonnaise and fresh lime) 460++ บาท จานนี้จะใช้กุ้งขาวมาหั่นชิ้นเล็กๆ เหมือนป๊อปคอร์น จะมีอีกชื่อเรียกป๊อปคอร์นชริมพ์ก็ได้ เอามาชุบแป้งทอด บีบมะนาวโรยเกลือ แล้วจิ้มกินกับดริปที่เป็นชิลลี่มายองเนส
“ปลาหมึกทอดกรอบโรยด้วยพริกสดเสิร์ฟพร้อมมะนาว” (Crispy fried squid with green chilli and lime) 340++ บาท ตัวนี้จะใช้ปลาหมึกคลุกกับแป้งผสมผงซาซิมิญี่ปุ่น ทอดออกมาจะได้รสชาติเผ็ดกรอบบีบมะนาวนิดหน่อย อร่อยเหาะ
ทยอยเสิร์ฟความฟินมาติดๆ ด้วย “ปลากระพงขาวแล่บางราดซอสยูซูน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิล” (Thinly sliced sea bass with yuzu, truffle oil and salmon roe) 390++ บาท “เนื้อวากิวแล่บางพร้อมซอสทรัฟเฟิลพอนซู” (Japanese wagyu tataki, truffle ponzu) 880++ บาท “สลัดซูม่าผักรวมคลุกน้ำสลัดมิโซข้าวบาร์เลย์” (Zuma salad with seasonal vegetables and barley miso dressing) 320++ บาท
อีกหนึ่งเมนูซิกเนเจอร์ที่ต้องสั่ง คือ “ทาท่าร์ปลาทูน่าและปลาแซลมอน” (Salmon and tuna tartare with rice crackers) 680++ บาท เมนูนี้เป็นอะไรที่ดูเรียบง่าย แต่อร่อยมาก วิธีรับประทานคือตักปลาขึ้นมากินกับแครกเกอร์ หรือ แผ่นมันฝรั่งหวานทอด
อีกซิกเนอเจอร์ที่น่าลิ้มลอง “ปลาแบล็คค้อดหมักมิโสะหวานเสิร์ฟพร้อมใบสักทอง” (Miso marinated black cod wrapped in hoba leaf) 1,520++ บาท ปลาคอดดำนี้บางทีคนไทยก็เรียกปลาหิมะ เพราะหน้าตาคล้ายๆ กัน เมนูนี้จะนำปลาไปหมักกับมิโสะถึง 4 วัน แล้วนำมาอบ วิธีรับประทานคีบเนื้อปลาออกมาเป็นเลเยอร์ได้เลย ซอสวาซาบิจะตัดกับมิโสะให้รสชาติเผ็ดหวาน
ต่อด้วย “เกี๊ยวซ่าไส้ปลาแบล็คค้อดและกุ้ง” (black cod and prawn gyoza with spicy ponzu sauce) 450++ บาท
“ปลาแซลมอลแล่บางราดซอสซิโซ” (Seared salmon with lime shiso soy) 360++ บาท
“เนื้อสันในย่างราดซอสเผ็ดหวานโรยด้วยต้นหอม” (Spicy beef tenderloin, sesame, red chilli and sweet soy) 1,340++ บาท ตัวนี้เป็นเทนเดอลอยน์จากออสเตรเลีย
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีพวกข้าวปั้น มากิโรลอีกสารพัดให้ได้กรี๊ดกร๊าดกันพอสมควร
ตบท้ายด้วยของหวานสุดอลังการ หากมากับเพื่อนกลุ่ม 5-6 คน แนะนำให้สั่งตัวซิกเนเจอร์ จะแชร์กันได้หลากหลาย ถ่ายรูปกันสนุกแน่นอน ที่สำคัญทุกอย่างเป็นโฮมเมด
ที่ซูม่า ไม่เพียงอาหาร ยังเป็นบาร์เครื่องดื่มชั้นยอดจากญี่ปุ่น หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายเมื่อไหร่ ซูม่าคือแหล่งกินดื่มที่ควรมาสังสรรค์กันอย่างยิ่ง เพราะนอกจากสาเกและไวน์แล้ว ซูม่ายังมีบาร์ที่ได้รับรางวัลมากมายคอบบริการเครื่องดื่มประเภทค็อกเทล ที่รังสรรค์ขึ้นด้วยวัตถุดิบระดับพรีเมียมและสปิริตจากประเทศญี่ปุ่น
ซูม่า ด้วยสถานการณ์โรคระบาด เปลี่ยนเวลาเปิดเป็นทุกวัน เวลา 11.30-21.00 น. แต่ถ้าเป็นช่วงสถานการณ์ปกติ ซูม่า จะเป็นให้บริการ มื้อเที่ยง จันทร์-เสาร์ เวลา 11:30 – 15:00 น.มื้อเย็น จันทร์-อาทิตย์ เวลา 18:00 – 23:00 น. บรันช์ ทุกวันอาทิตย์ เวลา 11:00 – 15:00 น. และ บาร์ จันทร์-อาทิตย์ เวลา 11:30 – 23:00 น.
รายละเอียดเพิ่มเติมและสำรองโต๊ะ โทร : 02 252 4707 อีเมล : [email protected] ไลน์ : @zumabangkok เว็บไซต์ : www.zumarestaurant.com เฟซบุ๊ค : https://www.facebook.com/ZumaBangkok อินสตาแกรม : https://www.instagram.com/zumabangkok/