เทศกาลอาหารสิงคโปร์ หรือ Singapore Food Festival (SFF) กลับมาอีกครั้งเป็นปีที่ 28 สำหรับครั้งนี้จัดขึ้นในรูปแบบไฮบริด (Hybrid Event) ภายใต้ธีม “Savour Singapore In Every Bite” โดยจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม – 12 กันยายน 2564
สำหรับเทศกาล SFF เป็นการเฉลิมฉลองมรดกอาหารท้องถิ่นของประเทศสิงคโปร์ รวมถึงศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ในวงการอาหาร ไม่ว่าจะเป็นประเพณีการปรุงอาหาร รสชาติอันหลากหลาย ตลอดจนนวัตกรรมสมัยใหม่ที่หล่อหลอมวัฒนธรรมอาหารของสิงคโปร์ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคต ภายในงาน ผู้ชมจะได้พบกับหลากหลายโปรแกรมอันน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งยังได้ใกล้ชิดกับบรรดาผู้เชี่ยวชาญและเชฟมือฉมังในเกาะสิงคโปร์ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.singaporefoodfestival.sg
กิจกรรมที่จัดขึ้นในเทศกาลนี้มมีหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจ คือ กิจกรรม Live Masterclasses ในรูปแบบโฟร์แฮนดส์ คอลลาบอเรชัน ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมของงานเทศกาลอาหารสิงคโปร์ปีนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองวัฒนธรรมอาหารและร่วมมือกันรังสรรค์เมนูอาหารจาก 4 มือ โดยเชฟ 2 ชาติ คือ ไทย-สิงคโปร์
เป็นการพบกันของเชฟไทย คุณต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร เชฟจากร้าน Le Du และ ลิม โฮ เกิร์น (Lim Hoe Gern) เชฟจากร้าน Laut มาร่วมกันรังสรรค์สุดยอดเมนูกุ้งแม่น้ำ ในสไตล์ไทย-สิงคโปร์โมเดิร์นทวิสต์
เชฟต้น กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่ได้เดินทางไปสิงคโปร์บ่อยครั้ง ทำให้ได้มีโอกาสซึมซับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอาหารสิงคโปร์ ถึงแม้จะเป็นวัฒนธรรมที่ก่อร่างได้ไม่นาน แต่ด้วยความที่สิงคโปร์เป็นเบ้าหลอมทางวัฒนธรรมของเอเชียและประกอบไปด้วยคนหลายเชื้อชาติ ทั้ง มาเลย์ จีน เปอรานากัน อินเดีย และยูเรเชีย จึงทำให้อาหารสิงคโปร์นั้นมีลักษณะเป็นอาหารฟิวชั่นของเอเชียอีกรูปแบบหนึ่ง
“อาหารไทยและสิงคโปร์มีความคล้ายกันในเรื่องที่ต่างได้รับอิทธิพลมาจากของอาหารหลายชาติ อย่างแกงมัสมั่น แกงเขียวหวาน ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอาหารอินเดีย และเชฟแต่ละยุคแต่ละสมัยก็ได้พัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นแกงไทยที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ในที่สุด”
ส่วนเชฟลิม ผู้ที่คลุกคลีกับการทำอาหารตั้งแต่เด็ก เนื่องจากครอบครัวเปิดร้านอาหารในศูนย์อาหาร Hawker Centre มาก่อน โดยมีคุณปู่ผู้ปลูกฝังความรักในการทำอาหารและเป็นแบบอย่างในการประกอบธุรกิจซึ่งมักจะสอนอยู่เสมอว่า “อาหารที่ดีไม่จำเป็นต้องราคาแพง” เขามักจะเห็นคุณปู่และคนในครอบครัวทำงานอย่างหนักเพื่อรังสรรค์เมนูอาหารและสร้างการบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า นั้นเป็นจุดที่หล่อหลอมให้เชฟลิมกลายเป็นเชฟที่มีปณิธานที่จะสรรสร้างอาหารของเขาแก่ทุกคนได้มีโอกาสได้ลิ้มลองความอร่อย
และ หากมองย้อนกลับไปในอดีตจะเห็นว่าผู้ที่สร้างประวัติศาสตร์อาหารของสิงคโปร์คือคนหาบเร่ และพ่อครัวจากร้านอาหารแผงลอย ซึ่งผู้คนเหล่านี้ล้วนมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดเอกลักษณ์สากลของวงการอาหารสิงคโปร์จนทำให้วัฒนธรรมร้านอาหารแผงลอยของสิงคโปร์ (Hawker Culture) ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก
สิ่งที่ดีที่สุดของอาหารแผงลอยสิงคโปร์ในมุมมองของเชฟลิมคือทุกคนสามารถเข้าถึงความหลากหลายของอาหารท้องถิ่นอันมีเอกลักษณ์ได้ในราคาที่สมเหตุสมผล จึงเป็นจุดมุ่งหมายให้นักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกอยากมาเยือน และวัฒนธรรมอาหารแผงลอยยังเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการรังสรรค์อาหารของเชฟลิมเพื่อต่อยอดรสชาติอาหารในแบบฉบับอาหารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
“อาหารแผงลอยมักจะเป็นอาหารที่ทำง่ายๆ ไม่ซับซ้อนฉะนั้นการยกระดับอาหารไปสู่ไฟน์ไดนิ่งจะต้องผสมผสานวัตถุดิบคุณภาพดีและองค์ประกอบที่หลากหลายจนเกิดความซับซ้อนของรสชาติ ผ่านการปรุงด้วยความใส่ใจอย่างละเมียดละไมในทุกขั้นตอน โดยจะต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์และความแม่นยำในการดึงรสชาติให้ออกมาอย่างเด่นชัด ซึ่งทางร้านเลาต์ (Laut) ให้ความสำคัญในทั้งสองเรื่องเป็นอย่างมากเพื่อให้ลูกค้าสัมผัสถึงแก่นของวัฒนธรรมอาหารฮอว์กเกอร์ในระดับพรีเมียม นอกจากนี้ยังมีความตั้งใจที่จะเป็นร้านอาหารปลอดคาร์บอนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่ออาหารยั่งยืน สิ่งเหล่านี้จะช่วยยกระดับให้สิงคโปร์เป็นผู้นำอุตสาหกรรมอาหารของโลกได้อย่างแท้จริง”
สำหรับผู้สนใจชมเมนู “กุ้งแม่น้ำ” 2 สัญชาติจาก 2 เชฟ จะออกมาเป็นยังไง สามารชมผ่านรายการ For Love of S.E.A.ทางเว็บไซต์ Singapore Food Festival (https://bit.ly/3AMgIIZ) หรือทาง Facebook VisitSingaporeTH ในวันที่ 27 สิงหาคม 2564 เวลา 19.00 น.