เรื่อง : ณัฐกานต์ สอนโยหา
การที่จะดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและเติบโตได้นั้น นับเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการมือใหม่ ที่ต้องวางรากฐาน เป้าหมาย และวางแผนเรื่องการดำเนินธุรกิจให้สามารถดำรงอยู่ได้ในยุคสมัยที่มีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น
โดยไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะสามารถทำให้ธุรกิจนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ก็ยังมีองค์ประกอบอีกหลายส่วนที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน จะมีอะไรบ้างนั้น ลองไปดูแนวคิดจากการบรรยายเรื่อง “ปรับเปลี่ยนวิธีคิดธุรกิจยุคดิจิทัล” ในงานอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) การเตรียมพร้อมนักรบอุตสาหกรรมพันธุ์ใหม่ (New Food Warrior 2019) โครงการยกระดับอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมศักยภาพประจำปีงบประมาณ 2562
ดร.ณัฐรินทร์ เนียมประดิษฐ์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมการค้าส่งเสริมพัฒนาธุรกิจเอสเอ็มอี กล่าวถึงวิธีคิดและจุดเริ่มต้นของการทำโครงการดังกล่าวว่า สินค้าและอาหารของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันออกไป แต่ที่ประเทศไทยนั้นยังไม่มีอาหารแปรรูปที่เห็นแล้วทำให้นึกถึงประเทศไทย จึงริเริ่มที่จะเข้ามาผลักดันและพัฒนาผู้ประกอบการมือใหม่ หรือที่เรียกว่า “นักรบอุตสาหกรรมอาหารพันธุ์ใหม่” ให้มีความสามารถในการวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค และผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนในยุคดิจิทัล
“หลายคนคงเคยได้ยินคำว่าเคยได้ยินคำว่า ‘เอดิสันไม่ได้ผลิตหลอดไฟขึ้นจากการพัฒนาเทียนไข แต่เกิดจากความคิดของเขาเอง’ ซึ่งเป็นเรื่องจริง หลายคนอาจคิดว่าต้องใช้กระบวนการในการต่อยอดสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่ความจริงเป็นอย่างที่กล่าวมาข้างต้น นั่นก็คือหลอดไฟไม่ได้เกิดจากการพัฒนาเทียนไข แต่เกิดจากการพัฒนาแนวคิดที่ได้จากแสงสว่างจนกลายเป็นหลอดไฟขึ้นมาในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นในกระบวนการ Design Thinking จึงเป็นกระบวนการคิดที่ต้องพัฒนาจากแนวคิดเดิม แต่ไม่ใช่การต่อยอดจากสิ่งเดิมที่มีอยู่ แต่เป็นการคิดแบบก้าวกระโดด จนทำให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมา” ดร.ณัฐรินทร์ระบุ
ดร.ณัฐรินทร์กล่าวอีกว่า คนเรามีอยู่ 2 ประเภท นั่นก็คือ 1.Growth Mindset คือคนที่คิดนอกกรอบ แสวงหาสิ่งใหม่อยู่เสมอ 2.Fixed Mindset คือคนที่คิดในกรอบ ปิดกั้นตัวเอง ไม่ออกจาก Comfort Zone ซึ่งการจะเป็นนักรบอุตสาหกรรมอาหารพันธุ์ใหม่ได้นั้น จะต้องเป็นคนที่มีความความรักในสิ่งที่จะทำ มีความต้องการที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ที่สำคัญคือต้องไม่ยอมแพ้ เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดแล้วนำมาพัฒนาและพร้อมที่จะเติบโต นอกจากนี้ยังต้องให้ความสำคัญกับวิธีคิดของตัวเราเอง ว่าต้องจะพัฒนาไปในทิศทางใด และผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร
“ในอนาคตเราจะได้ยินคำว่า Disrupt มากกว่าคำว่า Change เสียอีก เพราะนี่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลง แต่คือการทำลายทิ้ง กระบวนการที่ต้องการจะสื่อออกมานั่นก็คือ โลกเรากำลังจะเปลี่ยนแปลงไป เราจึงต้องทำลายกำแพงบางอย่างเพื่อที่เราจะก้าวข้ามไป หรือเราจะเป็นคนที่ย่ำอยู่กับที่แล้วรอให้กำแพงมันทำลายเรา”
ทั้งนี้ ปัจจุบันแม้แต่วงการค่ายเพลงเองก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ หากไม่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน จึงต้องนำแนวคิด Business Model เข้ามาใช้ เช่น การขายการบัตรจับมือของศิลปิน ขายการออกอีเวนต์โชว์ตัวต่างๆ business model จึงต้องเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงด้วย ดังนั้น พอมีนวัตกรรมเข้ามา ถ้าหากนักธุรกิจเองยังไม่มีการพัฒนา หรือทุบกำแพงออกไป ก็ทำให้มีโอกาสสูงมากที่ธุรกิจจะไปต่อไม่ได้
“อย่างที่บอกคือเราพยายามยืดอายุสินค้าหลายๆ อย่างให้ได้ยาวขึ้นจากการแปรรูปอาหาร และในขณะเดียวกันก็ยืดคุณภาพให้อยู่ได้นานขึ้นด้วย ถ้าเราสามารถพัฒนานวัตกรรมให้มันทันกับสิ่งที่มันกำลังจะเปลี่ยนแปลง เราก็จะสามารถอยู่รอดได้” ดร. ณัฐรินทร์ กล่าวทิ้งท้าย
ถือเป็นอีกเรื่องที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่ควรหันมาให้ความสำคัญในการที่จะปรับเปลี่ยนวิธีคิด จากแนวคิดเดิมๆ ก้าวไปสู่แนวคิดใหม่ๆ เพื่อผลักดันให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ในสภาวะที่ตลาดโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้