แกะรอยความสำเร็จ “ข้าวตราไก่แจ้” ในงาน ThaiFex Anuga Asia 2024 ยืนหนึ่ง ด้วยคอนเซ็ปต์ “ที่ไหนๆ ทั่วโลก ก็เลือกใช้ข้าวตราไก่แจ้”
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับ ThaiFex Anuga Asia 2024 งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ และครบวงจรที่สุดในเอเชีย โดยในปีนี้ ข้าวตราไก่แจ้ ยังคงท็อปฟอร์มสมกับเป็น “แบรนด์ข้าวไทย” ที่ครองใจคนไทยมากว่า 40 ปี จัดเต็มด้วยการยกกองทัพสินค้าคุณภาพกว่า 400 รายการ ที่วางจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ มาโชว์เคสในงาน พร้อมกิจกรรมที่อัดแน่นเพื่อสร้างสีสันให้กับบูทจนทำให้บรรยากาศในบููทเป็นไปด้วยความคึกคัก มีผู้เข้าร่วมงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติหมุนเวียนกันเข้ามาสอบถามข้อมูลและให้ความสนใจกับสินค้าของแบรนด์อย่างล้นหลาม
นายธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุนทรธัญทรัพย์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวสารตราไก่แจ้และข้าวสารตรากระเช้า รวมถึงบริษัท ทีอาร์ ไทยฟู้ดส์ จำกัด ผู้ผลิตขนมตราแม่นภา กล่าวถึงความพิเศษของบูทกิจกรรมในปีนี้ ซึ่งมาในคอนเซ็ปต์ “ที่ไหนๆ ทั่วโลก ก็เลือกใช้ข้าวตราไก่แจ้” ว่า ไฮไลต์ของบูทในปีนี้ ยังคงโดดเด่นไปด้วยกองทัพสินค้าคุณภาพ ที่ไม่ได้มีเพียงสินค้าประเภทข้าว ตั้งแต่ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว ข้าวเหนียว และข้าวญี่ปุ่น หลากหลายสายพันธุ์ที่มีมากกว่า 200 รายการ แต่ยังมีสินค้าประเภทอื่นๆ เช่น ปลากระป๋อง ขนมประเภทสแน็ก เส้นหมี่ และข้าวต้มมัด รวมแล้วกว่า 400 รายการ จนเรียกได้ว่า มาบูทเดียวครบ มีไลน์สินค้าที่ชวนให้ว้าวตั้งแต่ไอเดียไปจนถึงรสชาติ
“บูทในปีนี้ เราตั้งใจออกแบบโซนสำหรับโชว์แพ็กเกจจิงใหม่ของแบรนด์ข้าวตราไก่แจ้ ที่เราใช้ส่งออกไปตีตลาดต่างประเทศ และวางจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด เพราะจากประสบการณ์ที่สั่งสมมา ทำให้เราเห็นอินไซด์ของลูกค้า และพบว่าในตลาดที่ต่างกัน ลูกค้าย่อมมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน แม้แต่การออกแบบแพ็กเกจจิงก็มีผล ดังนั้น เราจึงเลือกที่จะปรับดีไซน์ของแพ็กเกจจิงให้มีความทันสมัย ดูสดใส เพื่อสร้างจุดเด่นให้กับสินค้า”
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมมากมายให้ร่วมสนุก โดยเฉพาะไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้ อย่าง กิจกรรม Cooking Show ที่มาพร้อมแนวคิด “ข้าวดีดี กินคู่กับอะไรก็อร่อย” โดยมีเชฟจากข้าวตราไก่แจ้ มาร่วมรังสรรค์ 3 เมนูสุดพิเศษ ได้แก่ ข้าวราดพะแนง ทานคู่กับข้าวหอมมะลิคัดพิเศษตราไก่แจ้, ก๋วยเตี๋ยวแห้ง ซึ่งมีวัตถุดิบหลัก คือ เส้นก๋วยเตี๋ยวตราไก่แจ้ และ Hon Maguro Sushi & Tobiko ซึ่งมีวัตถุดิบหลัก คือ ข้าวญี่ปุ่น ตราไก่แจ้
สำหรับความคาดหวังในการมาร่วมงาน ThaiFex Anuga Asia 2024 ซึ่งในปีนี้คาดว่า จะมีจำนวนผู้เข้าชมงานสูงถึง 80,000 คนทั่วโลก และมีตัวเลขประมาณการมูลค่าการสั่งซื้อสินค้าภายในงานนี้ อาจสูงถึง 100,000 ล้านบาท ธีรินทร์บอกว่า งานนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะนำเสนอสินค้าของแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก จะเห็นว่า ผลิตภัณฑ์ที่นำมาโชว์ในงานค่อนข้างหลากหลาย ซึ่งสะท้อนถึงความมั่งมั่นของบริษัทที่ต้องการตอบโจทย์ความต้องของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด โดยสินค้าทุกอย่างล้วนมาจากการตั้งคำถามว่าลูกค้าต้องการอะไร โดยในช่วงแรก สินค้าส่วนใหญ่จะตั้งต้นจากการใช้ข้าวเป็นวัตถุดิบหลัก แต่หลังๆ มานี้ เริ่มมีการขยายและแตกไลน์สินค้าใหม่ๆ ที่อาจจะไม่ได้มาจากข้าว เช่นซอสปรุงรส ปลากระป๋อง เพื่อสร้างความหลากหลายให้พอร์ตโฟลิโอของแบรนด์ให้ได้มากที่สุด
ในส่วนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทจากนี้ ธีรินทร์ย้ำว่าหัวใจสำคัญ คือ การสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง เพื่อให้ลูกค้าไว้วางใจในคุณภาพ
“ผมเป็นเจน 2 ที่เข้ามารับช่วงต่อจากคุณพ่อเมื่อ 20 ปีที่แล้ว คุณพ่อเริ่มต้นธุรกิจจากโรงงานเล็กๆ ขายข้าวให้ 3 อำเภอในจังหวัดชลบุรี รายได้ปีละประมาณหลักสิบล้าน แต่ตอนนี้ โรงงานของเราใหญ่ขึ้น จนมีกำลังการผลิต 3 แสนตันต่อปี ปัจจุบันใช้กำลังผลิตสัดส่วน 30-40% โดยมีทั้งที่ผลิตภายใต้แบรนด์ไก่แจ้และกระเช้ารวมถึงรับจ้างผลิต (OEM) ด้วย รายได้ปีล่าสุด 2566 อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้ จะทำรายได้อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท”
สิ่งที่เป็นจุดแข็งของแบรนด์ คือ การรักษาคุณภาพของข้าวให้คงที่ เพราะ แม้ข้าวจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตก็จริง แต่ด้วยคู่แข่งในตลาดที่มีอยู่เยอะ บวกกับความท้าทายในเรื่องสภาพอากาศ ที่ส่งผลต่อผลผลิตและคุณภาพข้าว ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าว่า ข้าวตราไก่แจ้และตรากระเช้าทุกถุงมีคุณภาพที่ดี ขาวสะอาด ปราศจากสิ่งเจือปนใดๆ ทางแบรนด์จึงให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตเป็นอย่างมาก มีการนำเทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัย และเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพมาใช้
“ที่ขาดไม่ได้ คือ ความเอาใจใส่ในการคัดเลือกชนิดข้าว มีการตรวจสอบทุกขั้นตอนในการผลิต โดยผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่า ไม่ว่าลูกค้ามาซื้อข้าวตราไก่แจ้หรือกระเช้าเมื่อไหร่คุณภาพยังเหมือนเดิม”
ส่วนในเรื่องราคา ธีรินทร์ บอกว่า ด้วยการแข่งขันในตลาดที่ค่อนข้างเสรี การปรับราคาข้าวจึงเป็นไปตามกลไกตลาด อย่างในช่วงที่ราคาข้าวมีความผันผวน ต้องมีการบริหารจัดการสต๊อกและราคาให้เหมาะสม โดยนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีการปรับราคาข้าวถุง 5-10% หรือ อย่างบางรายการแทนที่จะขึ้นราคาก็ใช้วิธีลดการทำโปรโมชันแทน เพราะหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติ คือ เรื่องของราคา ที่สำคัญไม่แพ้คุณภาพ
“บางครั้งคุณภาพเป็นสิ่งที่พูดยาก แต่คนที่จะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด คือ ผู้บริโภค จะเป็นคนบอกเราเอง ด้วยการกลับมาซื้อซ้ำ ซึ่งคุณภาพนี่แหละ คือ สิ่ิ่งที่จะทำให้ธุรกิจของเราเติบโตอย่างยั่งยืน”
นอกจากเรื่องคุณภาพจะมาเป็นอันดับหนึ่ง อีกหนึ่งจุดแข็งที่ธีรินทร์ มองว่าสำคัญไม่แพ้กัน คือ การบริการ ปัจจุบันทางบริษัทมีบริการที่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้า อย่างข้าวญี่ปุ่น ซึ่งเน้นจำหน่ายในกลุ่มร้านอาหารข้าวญี่ปุ่นทั่วประเทศ และมีบริการฟู้ดเซอร์วิสกระจายไปตามร้านอาหาร โรงแรม หรือครัวในโรงงานต่างๆ ด้วย
ในส่วนของแผนการตีตลาดต่างประเทศ ธีรินทร์ กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดหลักยังอยู่ในประเทศ 70% ส่วนที่เหลืออีก 30% มาจากการส่งสินค้าไปจำหน่ายในทุกภูมิภาคทั่วโลก ประมาณ 40 ประเทศ ทั้งสหรัฐ ยุโรป และจีน สำหรับตลาดในประเทศ หลักๆ ยังเป็นกลุ่ม Traditional Trade ที่เป็นยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว ประมาณ 80-90% เพราะเป็นช่องทางที่บริษัทสร้างชื่อเสียงมา ส่วนในฝั่ง Moderntrade ประมาณ 10-20% ในอนาคต ยังมีแผนขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม โดยจะวางกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แต่ด้วยความที่แต่ละตลาดจะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน จึงต้องอาศัยการศึกษาและค่อยๆ เรียนรู้
“ในส่วนของการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมในปีนี้ ยังไม่มีแผนในขณะนี้ เพราะต้องการโฟกัสสินค้ากว่า 400 รายการที่มีอยู่ก่อน ส่วนในเรื่องเทรนด์ความยั่งยืน ทางบริษัทก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยในฝั่งโรงงานได้มีการเดินหน้ากระบวนการผลิตที่ทำให้เกิด Low carbon และมีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ เพื่อลดการใช้พลังงาน”
สุดท้ายนี้ ถ้าถามว่าอะไรคือ เป้าหมายสูงสุดที่อยากพาแบรนด์ไปให้ถึง ธีรินทร์ อมยิ้มก่อนเฉลยว่า “ผมอยากให้แบรนด์ไก่แจ้เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า เมื่อไหร่ก็ตาม ที่คนไทยนึกถึงแบรนด์ข้าว อยากให้นึกถึงไก่แจ้ ต่อให้ไม่ต้องเป็นแบรนด์แรก แต่เป็นแบรนด์ท็อปทรีในใจ ผมก็ดีใจแล้ว”