กำลังเป็นกระแสที่ร้อนแรงยิ่งกว่าพระอาทิตย์ยามบ่าย สำหรับนิทรรศการ “จิ๋นซีฮ่องเต้ : จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา” ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมกัน ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ผ่านไป 1 เดือนกว่าๆ แล้ว เกิดปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน คือ คนไทยให้ความสนใจเข้าชมกันอย่างล้นหลาม ต่อคิวซื้อตั๋วยาวเหยียดตั้งแต่ช่วงเช้า ถึงตอนนี้ยอดคนดูพุ่งเกิน 1 แสนรายไปแล้ว
“มติชนอคาเดมี” ผู้นำแห่งการทัวร์ศิลปวัฒนธรรม เราไม่ตก เทรนด์รีบจัดทัวร์พาชมไป 2 รอบ เมื่อวันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่แม้จะผ่านไปแล้ว 1 เดือนกว่า ก็ไม่มีทีท่าว่าคนจะซาลงแม้แต่น้อย
งานนี้มีการจัดวางได้เหมาะสมเต็มพื้นที่ มีการลำดับช่วงเวลาแบ่งเป็น 3 ห้อง ตั้งแต่ราชวงศ์โจวตะวันออก ก่อนจะเข้าสู่ยุคราชวงศ์ฉินของจิ๋นซีฮ่องเต้ และ เปลี่ยนผ่านไปสู่ราชวงศ์ฮั่น
การเป็นลูกทัวร์ “มติชนอคาเดมี” ต้องพิเศษกันหน่อย ด้วยการจัดห้องส่วนตัวให้ลูกทัวร์ไปนั่งพักสบายๆ ดื่มกาแฟ รับประทานของว่าง นั่งฟังบรีฟสั้นๆ ก่อนจะเข้าไปชมนิทรรศการจาก อ.แอ๋ม-ผช.ศ.นวรัตน์ ภักดีคำ อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาจีน คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ที่รับหน้าที่เป็นไกด์บรรยายให้ฟังในครั้งนี้
อ.แอ๋ม บอกว่า เรารู้จักจิ๋นซีฮ่องเต้ผ่านสื่อภาพยนตร์ ทุกคนมองที่ความยิ่งใหญ่ในการรวบรวมแผ่นดินจีนจากแคว้นที่แตกแยกมารวมเป็นหนึ่งเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความยิ่งใหญ่ของจิ๋นซีไม่ได้เกิดแค่วันเดียว จากแคว้นเล็กๆ มายิ่งใหญ่ได้อย่างไร ใครเป็นผู้วางรากฐาน และเมื่อแคว้นต่างๆ ที่แตกต่างกันทั้งภาษา ระบบชั่งตวงวัด วัฒนธรรมประเพณี ทำอย่างไรให้ทั้งอาณาจักรเกิดความเป็นหนึ่งเดียว ขณะที่ในยุคนั้นเรื่องชีวิตหลังความตายมีความสำคัญ จึงต้องมีความรู้เบื้องต้นพกติดตัวเวลาเข้าไปชม
เริ่มจากห้องแรกแสดงของจากยุคราชวงศ์โจวตะวันออก ซึ่งยุคนี้เป็นยุคสุดท้ายที่นิยมใช้สำริด หลังจากนี้เริ่มมีการใช้เหล็กมากขึ้น เป็นยุคที่ปรากฏหลักฐานศิลปกรรมที่เกี่ยวกับโลกหลังความตาย ซึ่งเป็นต้นเค้าให้กับความเชื่อในยุคถัดมา
มาถึงราชวงศ์ฉิน เป็นยุคที่รวมอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียว การสร้างงานศิลปกรรมเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ แม้กระทั่งโลกหลังความตาย ที่เมื่อครั้งมีชีวิตยิ่งใหญ่อย่างไร ดังนั้นสุสานที่เป็นบ้านหลังความตายก็ต้องยิ่งใหญ่เหมือนกัน ซึ่งในสุสานที่ขุดพบนั้น พบว่ามีการจำลองพระราชวังทั้งฝ่ายหน้า ฝ่ายใน มีรถม้า เสื้อเกราะศิลา ทหารตุ๊กตาดินเผาขนาดเท่าคนจริง ซึ่งถือว่าเป็นเมกะโปรเจ็คต์ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ซึ่งคาดว่าการทำแบบนี้เป็นการรับประกันว่าผู้วายชนม์จะอยู่เป็นสุขในโลกหลังความตาย และเป็นการแสดงแสนยานุภาพของจิ๋นซีฮ่องเต้ที่มีต่อรัฐทั้งหก
จนมาถึงราชวงศ์ฮั่นที่เป็นการสืบต่อและคิดเพิ่ม ที่ความเชื่อหลังความตายยังมีอยู่ แต่อาจเปลี่ยนแนวคิดไปบ้าง คือ ขนาดตุ๊กตาที่เล็กลง เน้นแค่สัดส่วนที่สมจริงแต่ไม่ต้องเท่าตัวจริง ตุ๊กตาดินเผาจากม้าศึกก็กลายเป็นปศุสัตว์ มีหมู แพะ วัว เป็นต้น
สำหรับกระแสคนไทยเข้าชมนิทรรศการจิ๋นซีฮ่องเต้นี้ “อ.หลิง-ผศ.ดร.อชิรัชญ์ ไชยพจน์พานิช” รองคณบดีฝ่ายวิชาการ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวถึงปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า การที่คนหลั่งไหลมาชมนิทรรศการจิ๋นซีครั้งนี้มองว่ามีปัจจัย 3 ข้อ 1. ต้องให้เครดิตกรมศิลปากรที่ประชาสัมพันธ์หลายช่องทางทำให้คนเข้าถึงมากขึ้น 2. อาจเพราะคนไทยรู้จักจิ๋นซีฮ่องเต้ผ่านซีรีส์ตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุสานจิ๋นซี หรือ เจาะเวลาหาจิ๋นซี และ 3. เนื่องจากจิ๋นซีฮ่องเต้นั้นมีความยิ่งใหญ่เป็นจักรพรรดิองค์แรกที่รวบรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียว
อ.หลิง บอกว่า ถามว่าจะเป็นเหตุผลที่คนไทยรู้สึกใกล้ชิดกับจีนนั้น ส่วนตัวมองว่าอาจเป็นแค่เหตุผลรอง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคนคงเข้าศาลเจ้าเยอะไปแล้ว หรือ ที่วิหารเซียนก็มีตุ๊กตาจิ๋นซีมาตั้งเป็นสิบปีแล้ว แต่ก็มองว่ากระแสนี้เป็นสัญญาณที่ดี แต่หลังจากนี้ถ้ามีงานนิทรรศการอื่นๆ คนจะยังมาดูเยอะเป็นเทรนด์เหมือนครั้งนี้ไหม ส่วนตัวมองว่ายังบอกอนาคตของพิพิธภัณฑ์ภายใต้กรมศิลปากรไม่ได้ แต่คิดว่าจากงานนี้กรมศิลป์จะเห็นแนวทางแล้วว่าทำแบบไหนคนจะตื่นตัวมาดูพิพิธภัณฑ์มากขึ้น เรียนรู้จากปรากฏการณ์นี้แล้วมาพัฒนาต่อ แต่ถ้าเป็นไปได้ในเวลาที่เหลืออยู่ มองว่ากรมศิลปากรน่าจะจัดทำคลิป หรือ จัดคนบรรยายเป็นรอบๆ เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นก่อนชม เพราะในนิทรรศการแม้ว่าจะมีแคปชั่นอธิบาย แต่ก็อ่านค่อนข้างลำบาก หลายคนจึงได้แค่ความสวย แปลกตา คือ ไม่อยากให้คนเข้าพิพิธภัณฑ์แล้วไปเซลฟี่กับของเท่านั้น อย่างน้อยได้เกร็ดความรู้ติดตัวออกไปบ้างก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก
งานนี้แม้ว่าหลายคนอาจจะบ่นว่ากองทัพทหารดินเผาที่นำมาจัดแสดงนี้น้อยไปนิด ไม่เกรียงไกรเอาเสียเลย ก็ต้องบอกว่าที่นำมาจัดแสดงนี้ถือว่าเป็นไฮไลท์ทั้งนั้น
“ในฐานะที่งานนิทรรศการเป็นตัวแทนวัฒนธรรมจีนที่เกิดขึ้นหลายพันปีก่อน ของพวกนี้ทรงคุณค่า ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้ดู ถ้าจะดูต้องจ่ายค่าเครื่องบินเป็นหมื่นไปซีอาน แต่ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดี จ่ายแค่ 30 บาทก็ได้ดู”
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการได้ที่ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เปิดให้เข้าชมทุกวันพุธ – อาทิตย์ จนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2562 เวลา 09.00-18.00 น. โดยปิดขายบัตรเวลา 17.00 น. (ปิดวันจันทร์ – อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โทร. 0 2224 1333 และ 0 2224 1402 ค่าเข้าชมสำหรับชาวไทย 30 บาท และชาวต่างชาติ 200 บาท