เวลาได้กลิ่นเนื้อย่างทีไร ทำไมน้ำลายสอทุกที ยิ่งนึกถึงน้ำจิ้มรสเด็ด เผ็ดเปรี้ยวกำลังดี เล่นเอาหิวขึ้นมาเลยทีเดียว เราต่างก็รู้ว่าเนื้อสัตว์เป็นแหล่งของโปรตีน และรสชาติของเนื้อชั้นดีก็อร่อยเกินห้ามใจ แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญแนะว่า จะกินเนื้อสัตว์ให้ได้ประโยชน์ ต้องคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่ดี ควรกินเนื้อสัตว์ให้ถูกวิธี และกินในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกาย กินให้ดี ก็ได้ประโยชน์ ถ้ากินไม่ดี ก็จะเป็นผลเสียกับร่างกายในระยะยาว อย่ากระนั้นเลย เหล่านักกินเนื้อทั้งหลายมาดูกันดีกว่าว่า เนื้อแต่ละชนิด เราควรเลือกกินกันอย่างไร
เนื้อหมู เนื้อสัตว์ยอดนิยมของคนไทยส่วนใหญ่ เรียกว่ากินกันมาตั้งแต่เล็กจนโต แต่เรากลับไม่รู้ว่ากำลังกินเนื้อส่วนไหนอยู่นี่สิ นักโภชนาการกล่าวว่า เนื้อหมูส่วนที่มีคุณภาพโปรตีนมากที่สุดคือส่วนของ เนื้อหมูสันใน เป็นส่วนของเนื้อหมูที่มีความนุ่ม เนื้อเส้นใยเล็ก ไม่มีไขมันแทรก ส่วนเนื้อสันคอ จะเป็นเนื้อส่วนที่มีริ้วไขมันแทรก ทำให้เป็นส่วนของเนื้อหมูที่มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มและเด้ง เนื้อมีความฉ่ำน้ำเมื่อนำไปประกอบอาหาร ซึ่งร้านอาหารบางแห่งนำเนื้อสันคอไปใช้ในการปิ้ง ทำให้ได้เนื้อที่นุ่มลิ้น ฉ่ำน้ำ รสชาติอร่อย ขณะที่ส่วนที่มีไขมันมากที่สุดคือ หมูสามชั้น คอหมู และซี่โครงหมู (แหม ของชอบทั้งนั้น) การเลือกกินเนื้อหมูที่ดีจึงควรให้ได้สารอาหารสมดุลกับปริมาณที่ร่างกายแต่ละคนต้องการ เพราะนอกจากโปรตีนแล้ว ในเนื้อหมูยังมีสารอาหารอื่นๆ เช่น วิตามินบี 1 ช่วยลดอาการเหน็บชา วิตามินเอ บำรุงสายตา ฟอสฟอรัส และไนอาซีน ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง และบำรุงสมอง
เนื้อวัว สำหรับนักกินเนื้อ การได้ลิ้มลองรสชาติเนื้อวัวชั้นดีจากแหล่งเลื่องชื่อระดับโลกคงเหมือนการได้เติมเต็มความฟินให้กับชีวิต แต่ถึงแม้เนื้อวัวจะมีปริมาณโปรตีนสูง ก็พ่วงมากับปริมาณไขมันที่สูงเช่นกัน โดยเฉพาะเนื้อโคขุนทั้งหลาย เพราะฉะนั้นใครที่กำลังลดน้ำหนัก ควรเลือกกิน เนื้อสันส่วนบน ซึ่งมีโปรตีนสูงแต่มีไขมันแทรกอยู่น้อย นอกจากนี้ในเนื้อวัวยังมีธาตุเหล็ก ที่ช่วยบำรุงเลือด และวิตามินบี 12 ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ และสมองเสื่อม แม้ว่าเนื้อที่ดีคือเนื้อที่มีไขมันน้อย แต่ในการปรุงเนื้อสัตว์ก็ควรมีไขมันติดปนอยู่กับชิ้นเนื้อบ้าง เพราะจะทำให้เนื้อนั้นไม่กระด้างเมื่อถูกความร้อนขณะปรุงอาหาร นอกจากนี้ เนื้อที่มีไขมันติดจะมีกลิ่นและรสชาติที่ดีกว่าเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดไขมันเลย ตรงนี้จึงอยู่ที่การเลือกกินให้สมดุลกับความต้องการของร่างกายอีกเช่นกัน
เนื้อไก่ จัดเป็นเนื้อชนิดแรกๆ ที่คนรักสุขภาพจะนึกถึง เพราะนอกจากจะเป็นเนื้อที่ให้โปรตีนคุณภาพสูง ยังมีปริมาณไขมันที่น้อยมากๆ (เมื่อเลาะหนังออกแล้วนะ) โดยเฉพาะ เนื้ออก ซึ่งมีไขมันเพียงร้อยละ 8.2 ส่วนสะโพก ปีก และส่วนตูดไก่ คือส่วนที่มีไขมันมากที่สุด นอกจากนี้ไก่ยังมีสารอาหาร เช่น วิตามินบี 3 หรือไนอาซิน ซึ่งช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 12 ช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือด รวมทั้งกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย แถมยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายกว่าเนื้อแดง จึงไม่ต้องแปลกใจที่เนื้อไก่จะเป็นที่นิยมในหมู่นักกีฬาและคนรักสุขภาพนั่นเอง ส่วนของน่องสะโพกก็เป็นที่โปรดปรานของใครหลายคนไม่แพ้กัน จึงมีการเลือกนำส่วนนี้ไปสร้างสรรค์เมนูอาหารที่หลายรูปแบบ โดยเฉพาะการนำเนื้อไก่มาหมักซอสต่างๆ ก็ทำให้เนื้อไก่มีรสชาติที่อร่อยมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
เนื้อแกะ คนไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยนัก แต่สำหรับอีกหลายประเทศทั่วโลก เนื้อแกะ คือหนึ่งในเนื้อยอดนิยมที่ต้องมีติดเมนูในเกือบทุกร้านอาหาร โดยเนื้อแกะจัดว่าเป็นเนื้อสัตว์ที่มีไขมันและคอเรสเตอรอลต่ำ มีเลซิติน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหาร และลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอ วิตามินบี กรดโฟลิค ธาตุเหล็ก ซีลีเนียม สังกะสี และอีกมากมาย แต่หลายคนอาจกังวลว่าเนื้อแกะจะมีกลิ่นสาบตามธรรมชาติติดมาด้วย ซึ่งเนื้อแกะที่ดีจะขจัดกลิ่นดังกล่าวด้วยการหมัก ไม่ว่าจะหมักด้วยไวน์แดงแบบยุโรป หมักด้วยโยเกิร์ตแบบแขก หรือหมักด้วยน้ำมันงาแบบเกาหลี ซึ่งนอกจากกลิ่นสาบจะลดลง ยังช่วยให้เนื้อนุ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ เวลาเสิร์ฟสเต็กเนื้อแกะ หรือซี่โครงแกะ ก็มักจะเสิร์ฟมาพร้อมกับซอสมินต์ เพื่อลดกลิ่นและเพิ่มรสชาติ
เนื้อปลาและซีฟู้ด มาถึงเมนูตัวท็อปที่อยู่บนยอดพีรามิดของแทบทุกร้านอาหาร นั่นคือบรรดาอาหารทะเลต่างๆ โดยเฉพาะ เนื้อปลา นอกจากจะมีโปรตีนชนิดที่ย่อยง่ายแล้ว ในเนื้อปลายังมีโอเมกา 3 ซึ่งเป็นไขมันชนิดดี มีส่วนช่วยบำรุงสมอง สายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันโรคหัวใจ แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ บี และดี มีแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย อย่างเช่น ไอโอดีน ช่วยป้องกันโรคคอพอก ธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือด และแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูก ส่วนกุ้ง หอย ปู ปลา และหมึก ก็เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี แคลเซียมจากเปลือกกุ้งช่วยเสริมสร้างกระดูก และยังมีโอเมกา 3 เช่นกัน
ข้อมูลจาก บาร์บีคิวพลาซ่า