บอกเล่าสูตรเด็ด “ซุปปลาหมึกสอดไส้”

วิธีทำซุปปลาหมึกสอดไส้

1. ทำความสะอาดปลาหมึกให้เรียบร้อย โดยดึงส่วนหัวและหนวดออกจากตัว รวมถึงแกนปลาหมึกด้านใน แล้วทำความสะอาดตัวปลาหมึกให้เรียบร้อย ใส่จานพักไว้
2. ขั้นตอนต่อไป มาทำส่วนผสมของไส้ปลาหมึก โดยนำหมูสับ แครอทต้มหั่นเต๋าเล็ก น้ำมันหอย ซอสปรุงรส น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา และพริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา คลุกส่วนผสมให้เข้ากัน พักไว้ประมาณ 15 นาที
3. นำส่วนผสมของไส้หมูสับ ยัดใส่ในตัวปลาหมึกที่ทำความสะอาดไว้แล้ว (แนะนำให้ค่อยๆ ใส่ ไม่ต้องเยอะมาก ไม่เช่นนั้นตัวปลาหมึกอาจแตกได้เมื่อนำไปต้ม)
4. ใช้มีดบากตรงกลางตัวปลาหมึก เพื่อให้เห็นไส้ด้านใน จะดูน่ารับประทานยิ่งขึ้นเมื่อปรุงเสร็จ
5. นำหม้อใส่น้ำเปล่าตั้งไฟกลาง รอให้น้ำเริ่มเดือด แล้วใส่ผงปรุงรสหมู จากนั้นใส่แครอทดิบ และเห็ดชิเมจิที่เตรียมไว้ลงไปต้ม
6. เมื่อน้ำเดือดจัดให้ใส่ตัวปลาหมึกยัดไส้และหนวดลงไป ขั้นตอนนี้อย่าเพิ่งใช้ทัพพีคนเพราะอาจทำให้เกิดความคาวได้
7. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลเล็กน้อยและพริกไทยป่นอีกเล็กน้อย ตามด้วยขึ้นฉ่ายและต้นหอม แล้วค่อยปิดไฟ ตักใส่ถ้วยพร้อมเสิร์ฟ

ปลาหมึกมีดีกว่าที่คุณคิด

แม้หลายคนจะมองว่า “ปลาหมึก” เป็นเนื้อสัตว์ที่มีคอเลสเตอรอลสูง แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากเราเลือกทานปลาหมึกในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะได้ประโยชน์มหาศาลเช่นกัน ว่าแต่ว่า ปลาหมึกมีดีอะไรบ้างนะ? ตามมาดูกัน

ปลาหมึกอุดมไปด้วย “โอเมก้า 3” ที่จำเป็นต่อร่างกาย มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโต โดยเฉพาะวัยเด็กถ้าเลือกทานปลาหมึกก็จะยิ่งช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองและร่างกายให้เจริญเติบโตเต็มที่เลยล่ะ แถมยังช่วยเพิ่มสมาธิและการจดจำได้แบบดีเยี่ยม ซึ่งเหมาะกับวัยเรียนรู้ของเด็กๆ เป็นอย่างมาก รวมถึงผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ก็ควรเลือกทานปลาหมึกเช่นกันนะคะ เพราะกรดไขมันในโอเมก้า 3 ที่เรียกว่า DHA ส่งผลดีต่อระบบประสาทและสมองของทารกในครรภ์อีกด้วย เลิศไหมล่ะเจ้าปลาหมึก!

ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย เพราะปลาหมึกเป็นอาหารทะเลที่มีคอลลาเจนสูง และดูดซึมได้ง่าย ทำให้ร่างกายกลับมาเปล่งปลั่งอ่อนเยาว์แบบไม่ได้ดึงหน้ากันเลยทีเดียว ที่สำคัญในปลาหมึกยังมีคอเลสเตอรอลชนิดดีที่มีส่วนช่วยบำรุงผิวหนังให้เต่งตึง ไม่เหี่ยวง่ายๆ นะจะบอกให้

ถ้วยนี้ขอยกนิ้วให้เลย! ทานอร่อยซดคล่องคอ แถมประโยชน์เพียบ เหมาะกับทุกคนในครอบครัวกันเลยค่ะสำหรับ “ปลาหมึกสอดไส้” อยากลองทำก็ลุยตามสูตรที่เรานำมาฝากกันได้เลยนะคะ

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ