หากบ้านใครที่กำลังเจอปัญหา “เชื้อรา” บุกรุกเข้ามาในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นทาง ผนัง ตู้เสื้อผ้า หรือ แม้กระทั่งในห้องน้ำ ทั้งนี้ก็มาจากความอับชื้น หากพบว่าภายในบ้านเริ่มมีเชื้อราขึ้น ไม่ควรปล่อยไว้เด็ดขาด เพราะคุณอาจจะได้พาหะนำโรคแถมยังทำให้สภาพภายในบ้านดูไม่น่ามองอีกด้วย วันนี้เรามาดูขั้นตอนการกำจัดคราบเชื้อรากันดีกว่าค่ะ
ขั้นตอนที่ 1 เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม
คุณแม่บ้านคนไหนที่กำลังเริ่มทำความสะอาดคราบเชื้อรา อย่างแรกเลยควรสวมอุปกรณ์ป้องกันให้เรียบร้อยค่ะ โดยควรสวมรองเท้าบูทยาง ถุงมือยาง เพื่อป้องกันเชื้อราสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง และ สวมหน้ากากอนามัยเพื่อช่วยป้องกันการหายใจเอาสปอร์เชื้อราและไอระเหยสารเคมีเข้าไปในร่างกาย เตรียมตัวกันเสร็จแล้วก็มาเตรียมเครื่องมือทำความสะอาดกันดีกว่า โดยสิ่งที่เราจะต้องใช้ คือ สบู่ แอลกอฮอลล์ น้ำส้มสายชู น้ำยาโซเดียมไฮโปคลอไรต์ หรือผงปูนคลอรีน 0.5 เปอร์เซ็นต์ หากใครไม่มีสามารถใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้าขาวที่มีส่วนผสมของโซเดียมไฮโปคลอไรต์แทนก็ได้ค่ะ
ขั้นตอนที่ 2 ทำการระบายอากาศ
ก่อนจะลงมือทำความสะอาด ควรเปิดประตู หน้าต่าง เพื่อให้อากาศถ่ายเท และให้แดดส่องถึง นอกจากนี้ยังไม่ควรเปิดแอร์หรือพัดลมในระหว่างทำความสะอาด จะได้ไม่ทำให้เชื้อโรคฟุ้งกระจายค่ะ
ขั้นตอนที่ 3 การทำความสะอาด
– สำหรับเฟอร์นิเจอร์ ให้ทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ด้วยน้ำและสบู่ก่อน จากนั้นล้างด้วยน้ำยาโซเดียมไฮโปคลอไรต์ หรือ น้ำยาซักผ้าขาว ซึ่งอัตราส่วนที่ใช้ ประมาณ 3-5 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำเปล่า 1 แกลลอนค่ะ
– สำหรับเชื้อราบนเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากหนัง ควรใช้น้ำส้มสายชู เพราะมีฤทธิ์เป็นกรด สามารถทำลายเชื้อราได้ค่ะ เพียงผ้าชุบน้ำส้มสายชูเช็ดถูหลายๆ ครั้ง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำยาทำความสะอาด
– สำหรับวอลเปเปอร์หรือผนัง หากพบเชื้อราขึ้นเป็นจุดๆ ในบริเวณนี้ ควรเช็ดตามจุดต่างๆ ด้วยแอลกอฮอล์ให้สะอาด แต่ถ้าหากเชื้อรากินบริเวณกว้างเกินไป อาจจะต้องเปลี่ยนวอลเปเปอร์ใหม่ดีกว่านะคะ
ขั้นตอนที่ 4 หลังการทำความสะอาด
หลังจากที่ทำความสะอาดเชื้อราในบ้านเสร็จแล้ว เราควรเปิดพัดลมเป่าบริเวณที่ทำความสะอาดและอุปกรณ์ต่างๆ ให้แห้งอีกครั้ง และเปิดประตู หน้าต่าง เพื่อให้อากาศถ่ายเทค่ะ
ขั้นตอนที่ 5 ตรวจสอบเชื้อราให้เรียบร้อย
หลังจากที่เราทำความสะอาดไปแล้วประมาณ 2-3 วัน อย่าลืมสังเกตว่ายังมีเชื้อราเจริญเติบโตอีกหรือไม่ หากพบว่ายังมีอยู่ ให้ทำความสะอาดซ้ำอีกรอบ นอกจากนี้อย่าลืมตรวจเช็คแอร์ และระดับความชื้นภายในบ้านด้วยนะคะ
ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ