บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ประสบความสำเร็จปิดดีลสัญญาซื้อขายแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ (Barnett) ในรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนกำหนดเดิม 3 เดือน ด้วยมูลค่าการลงทุนสุทธิ 489.80 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 15,407.89 ล้านบาท)* รับกระแสเงินสดช่วงขาขึ้นของราคาก๊าซในช่วงเข้าสู่ฤดูหนาวได้ทันที ส่งผลให้ EBITDA จากแหล่งก๊าซธรรมชาติรวม 2 แหล่งของบ้านปูฯ เพิ่มเป็นร้อยละ 10 จากยอดรวม EBITDA ของบริษัทฯ ในปีนี้ และมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกในปีหน้าจากการคาดการณ์ราคาก๊าซที่สูงขึ้น สะท้อนผลลัพธ์การเลือกลงทุนและปิดดีลในจังหวะที่เหมาะสม ตามกลยุทธ์ Greener & Smarter ทั้งนี้ การลงทุนในแหล่งก๊าซธรรมชาติมีความเสี่ยงต่ำ มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบการขนส่งที่ดีรองรับ ทีมงานทั้งไทยและสหรัฐฯ มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และมีความเป็นเลิศด้านความปลอดภัย พร้อมเทคโนโลยีที่สนับสนุนการสร้างมูลค่าให้มากที่สุด ในขณะที่เน้นการบริหารต้นทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพ (Lean Operation) เพิ่มความเชื่อมั่นว่าธุรกิจก๊าซจะเติบโตและเป็นอีกหนึ่งในธุรกิจที่แข็งแกร่งของบ้านปูฯ ในอนาคตอันใกล้
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน เพราะเป็น bridging fuel หรือเชื้อเพลิงที่เป็นตัวเชื่อมสำคัญในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานเชื้อเพลิงที่ต้นทุนต่ำไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนในอนาคต นอกจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติจะสอดคล้องกับกลยุทธ์ Greener & Smarter ของบริษัทฯ แล้ว ยังเป็นธุรกิจที่เติบโตได้ดีจากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะยาวไปจนถึงปี 25931 บ้านปูฯ จึงไม่หยุดนิ่งในการแสวงหาโอกาสในการลงทุนในธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่องและเลือกลงทุนในจังหวะที่เหมาะสม เพื่อสร้างรายได้จากธุรกิจก๊าซธรรมชาติอย่างสม่ำเสมอ และเพิ่ม EBITDA จากธุรกิจก๊าซธรรมชาติในพอร์ตของบริษัทฯ ให้เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา เราได้ทำสัญญาซื้อขาย (Purchase and Sale Agreement: PSA) ผ่านบริษัท บ้านปู นอร์ท อเมริกา คอเปอเรชั่น จำกัด (Banpu North America Corporation) หรือ BNAC ซึ่งเป็นบริษัท
ย่อยของบ้านปูฯ ที่ดูแลบริหารจัดการธุรกิจก๊าซธรรมชาติ (Shale Gas) ในสหรัฐฯ เพื่อลงทุนและดำเนินการผลิตในแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ (Barnett) ในรัฐเท็กซัส ด้วยกลยุทธ์การลงทุนในแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีความเสี่ยงต่ำและดำเนินการผลิตอยู่แล้ว การที่เราตัดสินใจปิดดีลเร็วขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้ในเดือนธันวาคมปี 2563 เนื่องจากสามารถรับรู้รายได้และสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทฯ ได้ทันที เป็นช่วงที่ราคาก๊าซจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น”
โดยบ้านปูฯ นับเป็นบริษัทไทยรายแรกที่เข้าไปลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ โดยเริ่มลงทุนที่แหล่งก๊าซธรรมชาติมาร์เซลลัส (Marcellus) ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า 104,000 ตารางไมล์ กินพื้นที่ทั้งในรัฐเพนซิลเวเนีย เวสต์เวอร์จิเนีย โอไฮโอฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตกของรัฐนิวยอร์ก คิดเป็นมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 522 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 15,000 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตเฉลี่ยประมาณ 170 – 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในปีนี้นับเป็นปีที่ 5 ที่บ้านปูฯ ได้เข้าไปลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่ยังคงขยายตัว นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งสำนักงาน ณ แหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติ เมืองทันแคนน็อค รัฐเพนซิลเวเนีย และยังเสริมทีมทำงานทั้งไทยและสหรัฐฯ ที่มีความชำนาญในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากหินดินดาน เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจก๊าซธรรมชาติ
สำหรับการลงทุนในแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ (Barnett) ณ บริเวณฟอร์ต เวิร์ธ เบซิน (Fort Worth Basin) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตปิโตรเลียมที่สำคัญทางทิศเหนือของเท็กซัสตอนกลางกินพื้นที่ไปจนถึงทิศตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐโอคลาโฮมา ด้วยมูลค่าการลงทุน 489.80 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 15,407.89 ล้านบาท ทำให้บ้านปูฯ เป็นผู้ดำเนินการผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญที่สุดในแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์จากหลุมผลิตกว่า 4,200 หลุม บนพื้นที่กว่า 350,000 เอเคอร์ ซึ่งมีปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองที่พิสูจน์แล้ว (1P) ประมาณ 3.5 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตเทียบเท่า (Trillion Cubic Feet Equivalent: Tcfe) และมีกำลังการผลิตเฉลี่ยประมาณ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเทียบเท่าก๊าซธรรมชาติ (Million Cubic Feet Equivalent Per Day: MMcfed) ทั้งนี้ กำลังการผลิตของแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ 1 วัน สามารถผลิตไฟฟ้าให้กับพื้นที่เทียบเท่ากับกรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการได้ถึง 1.2 วัน
นายฐิติ เมฆวิชัย ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – ธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เมื่อรวมแหล่งก๊าซธรรมชาติทั้ง 2 แหล่งเข้าด้วยกัน บ้านปูฯ จะมีปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองที่พิสูจน์แล้ว (1P) ทั้งหมดประมาณ 4 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตเทียบเท่าก๊าซธรรมชาติ พร้อมกำลังการผลิตเฉลี่ยรวมเกือบ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเทียบเท่าก๊าซธรรมชาติ ส่งผลให้บ้านปูฯ เป็นหนึ่งในบริษัทผลิตก๊าซที่ใหญ่ที่สุด 20 อันดับแรกในสหรัฐฯ มีปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองอย่างน้อย 12 ปี และสามารถขยายได้อีกหากปัจจัยราคาเกื้อหนุน ซึ่งถือเป็นการเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน อีกทั้งประโยชน์ที่ได้จากแหล่งก๊าซสองแหล่งคือการสร้างพลังร่วม (Synergy) ระหว่างแหล่งก๊าซ เพิ่มมูลค่าจากการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในกระบวนการผลิต และเทคโนโลยี Automation และ Data Analytics เข้ามาใช้ในการบริหารหลุมก๊าซจำนวนมากด้วยระบบบริหารแบบลีน (Lean Operation) จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดต้นทุน และเสริมความปลอดภัยได้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้นบ้านปูฯ เชื่อมั่นว่าธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ จะสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง”
“บ้านปูฯ ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจนี้เพื่อต่อยอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ทั้งในส่วนการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติผ่านท่อส่ง พร้อมมองหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพราะอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มที่เติบโตแข็งแกร่ง มีตลาดในประเทศขนาดใหญ่ที่ไม่มีความผันผวน รวมถึงความต้องการนำก๊าซธรรมชาติไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ การใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงการผลิตเป็นก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ฯลฯ ทั้งนี้ บ้านปูฯ พร้อมเดินหน้าเร่งขยายการ
เติบโตและเพิ่มความมั่นคงในธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ เพื่อสร้างกระแสเงินสดที่ต่อเนื่องและผลตอบแทนที่ยั่งยืนแก่ผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติที่พร้อมจะสร้างอนาคตทางพลังงานที่ยั่งยืน” นางสมฤดี กล่าวสรุป