ปลาทูไทยทำอะไรได้บ้าง?

“ปลาทู” เป็นอาหารจานโปรดของคนไทยมานานแล้วไม่ว่าคนชั้นสูงหรือคนธรรมดาสามัญชาวบ้านทั่วไป เพราะปลาทูเป็นปลาทะเลที่หาซื้อได้ง่าย ที่สำคัญมีราคาถูก แม้ปัจจุบันนี้ก็ตามก็ยังพูดได้ว่าราคาถูกเมื่อเทียบกับปลาทะเลชนิดอื่น อีกทั้งปลาทูยังเป็นปลาที่มีคุณค่าสารอาหาร โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงมาก 

เดิมเชื่อกันว่าปลาทูในอ่าวไทยเดินทางมาจากเกาะไหหลำ แต่กรมประมงได้พิสูจน์แล้วว่าปลาทูส่วนใหญ่ที่จับได้ในอ่าวไทยเป็นปลาที่วางไข่อยู่บริเวณหมู่เกาะจังหวัดสุราษฏร์ธานี แล้วว่ายน้ำขึ้นมาหาอาหารเจริญเติบโตที่ก้นอ่าวไทยแถบจังหวัดสมุทรสาคร และสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำเพราะมีแพลงตอนพืชและสัตว์จำนวนมาก ปากแม่น้ำแม่กลองและก้นอ่าวแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม จึงเป็นแหล่งปลาทูที่มีรสชาติอร่อยและมีชื่อเสียงมานาน

ส่วนมากแล้วปลาทูแม่กลองจะนำมาขายสดและทำปลาทูนึ่ง เพราะมีเนื้อปลาเยอะ วิธีสังเกตปลาทูแม่กลองเวลาซื้อให้ดูว่าปลาทูแม่กลองแท้จะต้องสั้นทั้งหมด คือหน้าสั้น ตัวสั้นป้อม หนังมีสีเหลือง ตาดำ ครีบหางเหลือง เกล็ดลื่นเรียบ ไม่แข็ง เวลาจับผิวเนื้อจะนุ่ม กดกลางตัวยุบลงแล้วจะเด้งขึ้นมาคืน รสปลาจะหวานมันกินอร่อย  ด้วยความที่เนื้อปลาทูแม่กลองกินอร่อยนี้เอง ทำให้นำไปทำอาหารได้หลากหลายรูปแบบ และมีเมนูแปลกๆ ที่บางคนอาจจะยังไม่เคยกิน  เช่น ไตปลาทู

“ไตปลาทู” เป็นส่วนผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการควักไส้ ควักเหงือกออก ตรงไส้ปลาทั้งพวงนั้นคนแถบแม่กลองจะซื้อไปทำไตปลา ถือเป็นเครื่องจิ้มชนิดหนึ่ง โดยเอาไส้ปลาทูเคล้ากับเกลือ ตะไคร้  ใบมะกรูด นำไปนึ่งพอสุกแล้วคลุกกับหอมซอย ขิงซอย ผักชี พริกสด ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำมะนาว น้ำตาลปึก หรือนำมาทำเมนูไตปลาทูนึ่งยำ ก็ได้  รสชาติอร่อยทีเดียว

สำหรับเมนูปลาทูที่แปลกใหม่และสามารถนำมาปรุงรับประทานได้เองที่บ้าน เป็นการเปลี่ยนรสชาติของการกินปลาทูแบบเดิมๆ นั้น มีเมนูอะไรบ้างมาดูกัน…

ปลาทูต้มส้ม

“ต้มส้มปลาทู” ปกติจะเห็นแต่ต้มส้มปลากระบอก ลองเปลี่ยนมาเป็นปลาทูดูบ้างว่าจะมีรสชาติอย่างไร

เริ่มเตรียมวัตถุดิบ

มีพริกไทยเม็ด 20 เม็ด/ หอมแดงซอย 3 ช้อนโต๊ะ/กะปิ 1 ช้อนชา

ปลาทูสด(หนัก200กรัม) 3 ตัว/  น้ำ 2 ถ้วย/ น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำมะขามเปียก 5 ช้อนโต๊ะ/  เกลือป่น 1/4 ช้อนชา/ขิงอ่อนซอย 1/4 ถ้วย/  ต้นหอมหั่นท่อน ใบผักชีและพริกชี้ฟ้าแดงหั่นเป็นเส้น

วิธีทำ

โขลกพริกไทยกับหอมแดงและกะปิเข้าด้วยกันให้ละเอียด จากนั้นตักใส่ถ้วยพักไว้ก่อน ขยับไปล้างปลาทูด้วยการตัดหัวควักเอาไส้ออกจนหมด ล้างอีกครั้งให้สะอาดแล้วบั้งตัวปลาทั้งสองด้านใส่จานพักไว้

ต้มน้ำในหม้อด้วยไฟกลางจนเดือด ใส่เครื่องที่โขลก คนให้ทั่ว พอเดือดอีกครั้งใส่ปลาทูปิดฝาหม้อ ต้มจนปลาทูสุก  ค่อยปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล น้ำมะขามเปียก เกลือ ตามด้วยขิงซอย คนเบาๆ พอทั่ว ชิมให้รสออกเปรี้ยว เค็ม หวาน ปิดไฟใส่ต้นหอม ตักใส่ถ้วยแต่งด้วยใบผักชีและพริกชี้ฟ้าแดงหั่นเส้น เสิร์ฟร้อนๆ

ปลาทูต้มกระเทียมพริกไทย

เมนูอีกหนึ่งอย่างที่ไม่ค่อยจะเห็นนัก เริ่มด้วยการเตรียมปลาทูสด(หนัก 200 กรัม) 3 ตัว

พริกไทยเม็ด 15 เม็ด/  กระเทียมไทยแกะเปลือก 10 กลีบ

เกลือป่น 1/2 ช้อนชา/ น้ำเปล่า 1 ถ้วยครึ่ง

ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ/  กลีบกระเทียมแกะเปลือกและใบผักชีสำหรับตกแต่ง

ปลาทูต้มกระเทียมพริกไทย

วิธีทำ

ลงมือทำด้วยการล้างปลาทูควักไว้และเหงือกออกจนหมด ล้างอีกครั้งให้สะอาดใส่จานพักไว้  หันมาโขลกพริกไทยกับกระเทียมและเกลือเข้าด้วยกันให้ละเอียด ตักใส่ถ้วยพักไว้

ต้มน้ำในหม้อด้วยไฟกลางจนเดือด  จึงใส่เครื่องที่โขลก คนให้ทั่ว พอเดือดอีกครั้งลดไฟอ่อน ใส่ปลาทู ปิดฝาต้มจนปลาสุก ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ชิมให้ออกรสเค็มอ่อนๆ  ปิดไฟ  ตักใส่จานเสิร์ฟ ตกแต่งด้วยกลีบกระเทียมแกะเปลือกและใบผักชี

ปลาทูหม้อไฟ

ปลาทูหม้อไฟ

เป็นเมนูง่ายๆ ทำกินกันเองที่บ้านสำหรับคนชอบรสจัดนิดหนึ่ง

วัตถุดิบมี ปลาทูสด(หนัก200กรัม) 3 ตัว/  น้ำ 3 ถ้วย

ข่าอ่อน 5 แว่น/  ตะไคร้หั่นท่อนยาว2นิ้ว 2 ต้น

หอมแดงบุบ 2 หัว/  น้ำปลา 1/4 ถ้วย /น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ

พริกขี้หนูแห้งคั่วทำพริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ/  ใบผักชีและพริกแห้งซอยสำหรับแต่ง

วิธีทำ

ล้างปลาทู ตัดหัวออกดึงเอาไส้ออกจนหมด แล้วล้างอีกครั้งให้สะอาดใส่จานพักไว้

ต้มน้ำในหม้อไฟ ด้วยไฟกลางจนเดือด  ใส่ข่า ตะไคร้ หอมแดง ใส่ปลาทู แล้วปิดฝาต้มจนปลาสุก  ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว และพริกป่น คนพอทั่ว ปิดไฟ แต่งด้วยใบผักชีและพริกแห้งซอยก่อนเสิร์ฟร้อนๆ

เมนูนี้สำหรับคนชอบของทอด “ปลาทูทอดเกล็ดขนมปัง”

เริ่มเตรียมวัตถุดิบปลาทูสด(หนัก200กรัม) 3 ตัว/  เกลือป่น 1 ช้อนชา

พริกไทยป่น 1 ช้อนชา/  แป้งสาลี 1/4 ถ้วย

ไข่ไก่ตีให้เข้ากัน 1 ฟอง/  เกล็ดขนมปัง 1/4 ถ้วย

น้ำมันพืชสำหรับทอด/ ซอสพริก

วิธีทำ

ลงมือล้างปลาทูควักไส้และเหงือกออกให้หมด ล้างอีกครั้งให้สะอาด จากนั้นใช้มีดคมๆ แล่ด้านข้างตรงสันตัวปลาจากหัวจรดหาง แบะตัวปลาออก แล่เอาก้างกลางออก นำไปล้างน้ำอีกครั้งจนหมดเลือด ใส่ตะแกรงพักให้สะเด็ดน้ำ

เคล้าปลาทูกับเกลือและพริกไทยให้ทั่ว หมักนาน 5 นาที แล้วนำมาเคล้ากับแป้งสาลีจนทั่ว เอาลงชุบไข่ คลุกเกล็ดขนมปังให้ทั่ว กดให้เกล็ดขนมปังติดแน่น ใส่ลงทอดในกระทะน้ำมันร้อนไฟกลาง ดูจนสุกเหลืองทั่วแล้วตักขึ้นพักบนกระดาษซับน้ำมัน  เวลาเสิร์ฟจัดปลาทอดวางบนตะแกรงในจาน รับประทานกับซอสพริก

ปลาทูทอดเกล็ดขนมปัง
ยำตับปลาทู

ยำตับปลาทู

ตับปลาทู เล่าลือกันว่าอร่อยหนักหนา เมนูที่ลองนำมาให้ทำคือ ยำตับปลาทู เตรียมวัตถุดิบ

ตับปลาทูสด 1 ถ้วย/  ขิงอ่อนซอย-หอมแดงซอย อย่างละ 2 ช้อนโต๊ะ

ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ/  ใบมะกรูดซอย 1 ช้อนโต๊ะ

พริกขี้หนูสวนซอย 1 ช้อนชา/  ผักกาดแก้วและมะนาวผ่าครึ่งฝานเป็นริ้วสำหรับแต่งจาน

การทำน้ำยำ

เครื่องปรุงมีน้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ/  น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา/  น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา/  น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

ลงมือล้างตับปลาทูสดให้สะอาด จากนั้นต้มน้ำ2ถ้วยในหม้อด้วยไฟแรงจนเดือดจัด ใส่เกลือ 1 ช้อนชา ใบมะกรูดฉีก 4 ใบ ตามด้วยตับปลาทู  ปิดฝา  พอเดือดสักครู่ตักตับปลาทูออกมาล้างน้ำให้สะอาดอีกครั้ง  พักไว้

ทำน้ำยำโดยผสมน้ำปลา น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บและน้ำมะนาวเข้าด้วยกันในถ้วย คนจนน้ำตาลละลาย พักไว้

ใส่ตับปลาทูต้มลงในอ่างผสม ตามด้วยขิงอ่อน หอมแดง ตะไคร้ ใบมะกรูดและพริกขี้หนู เคล้าให้เข้ากัน จากนั้นใส่น้ำยำ คลุกเคล้าอีกครั้ง เวลาเสิร์ฟให้ตักใส่ถ้วยที่รองด้วยผักกาดแก้ว ตกแต่งด้วยมะนาวผ่าครึ่งฝานเป็นริ้ว

ไตปลาทูผัดกะเพรา

เป็นเมนูปิดท้ายชนิดที่ขาดไม่ได้ ไหนๆมีกะเพราะเนื้อ กะเพราไก่แล้ว ลองมาทำกะเพราะไตปลาทูกันบ้าง

เตรียมไตปลาทูสด 1 ถ้วย/  กระเทียม 15 กลีบ

พริกขี้หนูเขียวแดง 10 เม็ด/  น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ

น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ/  น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ/  น้ำเปล่า 1/4 ถ้วย

ใบกะเพราเด็ด 1/2 ถ้วย

ไตปลาทูผัดกะเพรา

วิธีทำ

ลงมือล้างไตปลาทูให้สะอาด จากนั้นต้มน้ำ 2 ถ้วยในหม้อด้วยไฟแรงจนเดือดจัด ใส่เกลือ 1 ช้อนชา ใบมะกรูดฉีก 4 ใบ ตามด้วยไตปลาทู  ปิดฝา  พอเดือดสักครู่ตักไตปลาทูออกมาล้างน้ำให้สะอาด  พักไว้ 

โขลกกระเทียมและพริกขี้หนูเข้าด้วยกันพอหยาบ ตักใส่ถ้วยไว้ก่อน

ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันด้วยไฟกลาง พอร้อนใส่เครื่องที่โขลกไว้ลงผัดจนหอม  ใส่ไตปลาทูผัดพอเข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย ใส่น้ำ แล้วค่อยใส่ใบกะเพรา ผัดให้เข้ากัน ปิดไฟ  ตักใส่จานตกแต่งด้วยใบกะเพราทอดเพื่อความสวยงาม รับประทานร้อนๆ

ทั้งหมดนี้เป็นจานอร่อยที่ทำจากปลาทูไทย (ปลาทูแม่กลอง) ที่เปลี่ยนจากการกินปลาทูแบบเดิมๆ

ปลาทู เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูยอดนิยมที่อยู่คู่กับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างจากปลาชนิดอื่นๆ นอกจากความอร่อยแล้วยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย

“ปลาทู” อร่อยดี มีโอเมก้าสูง

เชื่อว่าปลาทู (Mackerel) คงเป็นอีกหนึ่งเมนูโปรดสำหรับใครหลายๆ คน เพราะนอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยแล้ว ยังสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนูไม่ว่าจะเมนูทอด หรือต้ม เช่น ปลาทูทอด ปลาทอดนึ่ง ฉู่ฉี่ปลาทู ยำปลาทู ต้มยำปลาทู เป็นต้น และคุณประโยชน์อีกมากมายที่คุณอาจคาดไม่ถึง เช่น บำรุงหัวใจ บำรุงสายตา

ข้อมูลโภชนาการ

ปริมาณเนื้อปลาทู 100 กรัม มีข้อมูลโภชนาการ ดังนี้

  • พลังงาน 262 กิโลแคลอรี
  • โปรตีน 24 กรัม
  • ไขมันรวม 18 กรัม
  • คอเลสเตอรอล 75 มิลลิกรัม
  • โซเดียม 83 มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม 401 มิลลิกรัม
  • วิตามินเอ 3.6% ของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน
  • วิตามินซี 0.7% ของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน
  • แคลเซียม 1.2% ของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน
  • ธาตุเหล็ก 8.7% ของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน

5 คุณประโยชน์ดีๆ จากปลาทู

ปลาทูเป็นอีกหนึ่งปลาชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพไม่แพ้ปลาชนิดอื่นๆ เรามาดูประโยชน์ของปลาทูกันดีกว่าค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง

บำรุงสุขภาพหัวใจ

ปลาทูอุดมด้วยไปด้วยโอเมก้า 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อการบำรุงสุขภาพหัวใจ และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจวาย และภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ

ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน

ปลาทูอุดมด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว  (Monounsaturated fatty acids : MUFA) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานอีกด้วย

เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

เชื่อหรือไม่ว่า การรับประทานปลาทูสามารถช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายได้ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี มีโอเมก้า 3 ซึ่งทำหน้าที่ต้านการอักเสบ  ต่อสู้กับการติดเชื้อต่างๆ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง

ควบคุมระดับความดันโลหิต

โพแทสเซียมในปลาทูมีส่วนช่วยในการรักษาความดันโลหิต และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิต

ป้องกันมะเร็ง

ปลาทูอุดมไปด้วย โคเอนไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง และป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่

ถึงแม้ว่าปลาทูจะมีคุณประโยชน์และมีรสชาติที่อร่อยมากเพียงใด เราก็ควรเลือกซื้อจากแหล่งขายที่สะอาด ถูกสุขอนามัย เพราะอาจมีสารปนเปื้อนที่ส่งผลเสียกับสุขภาพร่างกายเราในภายหลังได้ ที่สำคัญอย่าลืมรับประทานอาหารให้หลากหลายชนิดเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน

ที่มา : Sanook.com

เรื่องมันมีอยู่ว่าเกิดการถกเถียงกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียดว่า “ปลาทู” ที่แต่ก่อนได้ชื่อว่าเป็นอาหารของคนจน เพราะราคาถูกและหาซื้อได้ไม่ยาก มีขายเต็มท้องตลาด แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นว่าไปตลาดซื้อปลาทูทอดแค่ตัวเดียวขายคู่กับน้ำพริกกะปิถุงเล็กๆ บวกกับผักจิ้มอีกนิดหน่อย ราคาพุ่งไปถึง 100 บาท เช่นนี้แล้ว คนจนคงไม่มีปัญญาจะซื้อกินเป็นแน่แท้  ดังนั้น เลยกลายเป็นข้อถกกันว่า “ปลาทู” เป็นอาหารของคนมีอันจะกินในยุคนี้  แต่จะว่าไปก็ไม่แปลก ในเมื่อประชากรโลกเพิ่มมากขึ้นขณะที่ทรัพยากรมีน้อยลง จึงต้องเกิดการแข่งขันแย่งชิงกันเป็นธรรมดา เมื่อความต้องการมีมากกว่าการผลิตได้ ราคาเลยพุ่งขึ้นสูงหลายสิบเท่าตัวตามกลไกของตลาด

แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องสถานการณ์ของปลาทูไทย มารู้จักปลาทูกันก่อนว่าเป็นอย่างไร

โดยทั่วไปชาวประมงจะแบ่งปลาทูออกเป็น 2 ชนิด คือ “ปลาสั้น” และ “ปลายาว”

“ปลาสั้น” หมายถึงปลาทูแม่กลอง ซึ่งมีลักษณะหน้าเป็นสามเหลี่ยม ตัวสั้น แบน เนื้อนิ่ม เวลากดลงไปที่ตัวปลาแล้ว

เนื้อปลาจะกลับคืนสภาพเดิมไม่บุ๋มลงไปตามแรงกด นอกจากนั้น ลำตัวปลาสั้นจะมีสีเงิน หรือ อมเขียว ตาดำ  ส่วน “ปลายาว” มีชื่อเรียกกันหลายชื่อ เช่น ปลาลัง ปลายาว ปลาอินโด ซึ่งก็เป็นปลาชนิดเดียวกันทั้งหมดกับปลาทู  แต่ลักษณะของปลายาว ตัวจะใหญ่และยาวกว่าปลาทูแม่กลอง และมีปากแหลม

ในทางวิทยาศาสตร์  ปลาทูของไทย เป็นสกุลของปลาทะเลในวงศ์ Scombridae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับปลาโอ, ปลาอินทรี และ ปลาทูน่า ซึ่งมีด้วยกัน 3 สายพันธุ์ได้แก่ ปลาทู (ชื่อสามัญ Short-Bodied Mackerel) ปลาลังหรือปลาทูโม่ง (ชื่อสามัญ Indian Mackerel) ปลาทูแขกหรือปลาทูปากจิ้งจก (ชื่อสามัญ Island mackerel)

ความแตกต่างระหว่าง “ปลาทู” พันธุ์ต่างๆ

ปลาทูแม่กลอง-ลำตัวกว้างหรือแป้น แบน ป้อม สั้น มีขนาดเล็ก ประมาณ 15-20 ซ.ม. หัวเป็นสามเหลี่ยมกว้าง ตาโต เนื้อแน่น ละเอียด นุ่ม มีมันมาก อร่อย

ปลาลัง-ตัวจะใหญ่กว่าปลาทูเห็นได้ชัด  ลำตัวเรียวยาว ตัวกลม ยาวประมาณ 20-25 ซ.ม. ปากค่อนข้างแหลม ตาโต มีจุดสีดำใต้ฐานครีบหลังมากกว่าปลาทูชนิดอื่น  บริเวณหางที่เป็นรูปซ่อม หางจะเว้าลึกกว่าปลาทูอื่นๆ เนื้อหยาบ มีมันน้อย ไม่ค่อยอร่อย ราคาถูกกว่าปลาทู

ปลาทูแขก-ลำตัวเรียวยาวและกว้างคล้ายปลาลัง แต่ความยาวจะเท่าปลาทู ประมาณ 15-20  ซ.ม. มีเกล็ดแข็งที่โคนหาง เนื้อหยาบ มันน้อย ไม่อร่อย แต่ผู้บริโภคมักไม่ค่อยสังเกตเห็นความแตกต่าง คนขายจึงมักลักไก่เอามาขายปนกับปลาทู

สำหรับ “ปลาทูแม่กลอง” เป็นปลาทูเชื้อสายไทยแท้ๆ เลยทีเดียว  เพราะเกิดในอ่าวไทยอาศัยอยู่บริเวณใกล้ฝั่ง อยู่รวมกันเป็นฝูงบริเวณกลางน้ำถึงผิวน้ำ ตั้งแต่บริเวณชายฝั่งจนถึงระดับความลึก  200 เมตร จะพบเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น ปลาทูกินแพลงตอนเป็นอาหาร ว่ายน้ำได้รวดเร็วมากและไม่เคย

หยุดนิ่งกับที่ เพราะต้องคอยหนีศัตรู โดยเฉพาะปลาฉลามและปลาใหญ่อื่นๆ ในเวลากลางวันปลาทูจะอาศัยในระดับน้ำลึกที่เครื่องมือประมงจับได้ยาก แต่พอถึงเวลากลางคืนที่ทะเลเรียบปราศจากคลื่นลม อากาศดี ฝูงปลาทูจะขึ้นว่ายใกล้ผิวน้ำ ถ้าเป็นคืนเดือนมืดแสงเรืองจากตัวปลาส่องแสงเป็นประกายสีขาวทำให้มองเห็นฝูงปลาได้อย่างชัดเจน ชาวประมงอาศัยแสงเรืองจากตัวปลาทูนี่เองเป็นที่หมายช่วยให้ติดตามจับปลาฝูงใหญ่ๆ ได้ง่าย ทำให้ชาวประมงส่วนใหญ่ออกจับปลาทูในเวลากลางคืนเท่านั้น

แหล่งอาศัยของปลาทูที่เป็นแหล่งประมงสำคัญในประเทศไทย พบมากในอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน แถบอ่าวพังงา แต่พบมากที่สุดในบริเวณอ่าวไทยทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตก ซึ่งสามารถจับได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี มีแหล่งอาหารของปลาทูอย่างอุดมสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปลาทูไทยในตอนนี้ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ให้ข้อมูล ว่า ณ เวลานี้การจะได้กินปลาทูไทยอาจจะยากขึ้น เนื่องจากสถิติการจับปลาปลาทูของกรมประมงในพื้นที่อ่าวไทยและมหาสมุทรอินเดีย มีการจับปลาทูสูงสุดได้ปริมาณที่ลดลง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากวิธีการทำประมง สภาพแวดล้อม และอุณหภูมิของน้ำที่เปลี่ยนแปลงไป

เหตุที่ปลาทูเป็นอาหารที่คนจำนวนมากต้องการบริโภค เนื่องมาจากปลาทูเป็นอาหารโปรตีนที่สำคัญ มีโอเมก้า 3 สูง ซึ่งโอเมก้า 3 เป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ทำให้สมองพัฒนาได้ดี เมื่อมีความต้องการสูงจึงทำให้การทำประมงในอ่าวไทยค่อนข้างมาก เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดภายในประเทศ  ระยะหลังจะเห็นว่าปลาทูมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ และไม่ได้มีตลอดทั้งปี ถ้าเป็นปลาทูตัวใหญ่ๆ แน่นอนว่าไม่ใช่สายพันธุ์ไทยแท้ปลาทูแม่กลอง ผลที่ทำให้ปลาทูลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว นักวิชาการด้านประมงแจงไว้ดังนี้ 1. เป็นเพราะเครื่องมือทำประมงทั้งแบบพาณิชย์และแบบพื้นบ้านที่จับลูกปลาทูขึ้นมาด้วย รวมทั้งจำนวนของชาวประมงที่เพิ่มมากขึ้น 2. สภาพแวดล้อมเที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้แพลงตอนอาหารของปลาทูลดลน้อยลง  3. ผิวน้ำมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น มีผลต่อการเคลื่อนที่ของปลาทู จึงทำให้ปริมาณปลาทูไทยลดลง  สถานการณ์อยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

เมื่อเป็นเช่นนี้ การจะช่วยให้มีปลาทูอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม นอกจากเรื่องของวิชาการด้านการประมงที่จะช่วยในการบริการจัดการกับปลาทูแล้ว การเลือกไปกินปลาชนิดอื่นที่คุณสมบัติใกล้เคียงกัน ย่อมทำให้มีระยะเวลาในการฟื้นฟูปริมาณของปลาทู ซึ่งในที่นี้ “ปลาแมคเคอเรล” ที่นำมาทำปลากระป๋อง ความจริงก็คือ “ปลาทูกระป๋อง” นั่นเอง

นอกจากนี้ก็ยังมี “ปลาซาร์ดีน” เป็นปลาในกลุ่มปลาหลังเขียวบ้านเรา มีขนาดตัวกำลังดีสำหรับทำปลากระป๋องอยู่แล้วแถมยังจับได้ในปริมาณมาก แต่ในเมื่อคนบริโภคกันล้นหลามแบบนี้ปลาซาร์ดีนก็มีปริมาณลดน้อยถอยลงเหมือนกัน ทำให้ผู้ผลิตต้องหันมาใช้ปลาแมคเคอเรลทำปลากระป๋องคู่กันไป  ดังนั้น “ปลากระป๋อง” เป็นคำตอบที่กินแทนปลาทูนี่เอง

คนไทยรู้จักและกินปลาทูมาช้านานแล้ว แต่หลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุเพียง 100 กว่าปีเท่านั้น คือ มาจากหนังสือชื่อ “อักขราภิธานศรับท์ ฉบับหมอบรัดเล” ตีพิมพ์ในรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2416 โดยเขียนไว้ว่า “…ปลาทูเป็นปลาที่อยู่น้ำเค็ม มีเกล็ด ตัวมันกว้างศักสองนิ้ว ยาวศักสิบนิ้ว…” และ “…ปลาลังตัวมันเหมือนปลาทูแต่เล็กกว่าปลาทูอยู่น้ำเค็มในทะเล มีเกล็ดหนืดๆ..” คนไทยกินปลาทูมานานแล้ว แต่เมื่อเครื่องมือการประมงดีขึ้น ทำให้จับปลาได้มากขึ้น ยิ่งเทคโนโลยีสมัยนี้ดีมากขึ้น การคมนาคมขนส่งเจริญขึ้น ปลาทูก็ยิ่งได้รับความนิยมและแพร่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาค ไม่เฉพาะชายฝั่งทะเลและบริเวณใกล้ๆ เท่านั้น แต่คนในพื้นที่ห่างไกลทะเลก็ได้กินปลาทูกันถ้วนหน้า

ปลาทูไทยมีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Rastrelliger brachysoma อาศัยอยู่ผิวน้ำในทะเลเป็นฝูง ลำตัวป้อม แป้น หัวโต หน้าแหลม ตาเล็กปากกว้างและเฉียงขึ้นเล็กน้อย มีเกล็ดเล็กละเอียดและหลุดง่าย ครีบหลังมีสองอัน พื้นท้องมีสีขาวเงิน  ลำตัวด้านบนเป็นสีน้ำเงินแกมเขียว มีจุดสีดำเรียงรายเป็นแถวตามสันหลัง ขนาดเมื่อโตเต็มที่จะยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร

อาหารของปลาทูเป็นพวกแพลงตอนพืชและแพลงตอนสัตว์ เวลาปลาทูว่ายน้ำจะอ้าปากเพื่อให้น้ำทะเลไหลเข้าไปในปาก ผ่านซี่เหงือกที่มีอยู่จำนวนมาก ซึ่งช่วยกรองแพลงตอนเหล่านี้เป็นอาหารกลืนเข้ากระเพาะไป ส่วนเส้นฝอยเหงือกสีแดงจะทำหน้าที่ดูดออกซิเยนที่ละลายใน้ำทะเลเพื่อการหายใจ จึงเห็นได้ว่าปลาทูที่จับมาล้วนอ้าปากค้างอยู่

“น้ำพริกปลาทู” เริ่มแพร่หลายตั้งแต่รัชกาลที่ 5 หรือรัชกาลที่ 6 ในกาพย์เห่ชมเครื่องว่างรัชกาลที่ 6 มีความตอนหนึ่ง ว่า                                                                                                                        “เมี่ยงคำน้ำลายสอ  เมี่ยงสมอเมี่ยงปลาทู                                                                                                                                                                                                                                                                        ข้าวคลุก คลุกไก่หมู น้ำพริกกลั้วทั่วโอชา”

สำรับการแนมปลาทูทอดกับน้ำพริกกะปิ สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นในวังหลวงก่อนแพร่ออกไปในหมู่สามัญชนทั่วไป เพราะในสมัยรัตนโกสินทร์ สำรับน้ำพริกต่างๆ ได้พัฒนาขึ้นมากในเขตพระราชวัง จากนั้นจึงแพร่ออกสู่ข้างนอก

ปลาทูเป็นอาหารโปรดของคนทั่วไป เพราะนอกจากราคาถูกแล้ว ยังอร่อยถูกปากและมีคุณค่าสารอาหาร  โดยเฉพาะมีสารโอเมก้า 3 สูงมาก  เดิมเชื่อกันว่าปลาทูเดินทางมาจากเกาะไหหลำ แต่กรมประมงพิสูจน์แล้วว่าปลาทูส่วนใหญ่ที่จับได้ในอ่าวไทย เป็นปลาที่วางไข่อยู่บริเวณหมู่เกาะจังหวัดสุราษฏร์ธานี แล้วว่ายน้ำขึ้นมาหาอาหารและเจริญเติบโตที่อ่าวไทย แถบจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม ซึ่งเป็นแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำ เพราะมีแพลงตอนพืชและสัตว์จำนวนมาก  ปากแม่น้ำแม่กลอง ก้นอ่าวแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม จึงเป็นแหล่งปลาทูที่มีรสชาติอร่อยและมีชื่อเสียง  แต่ปลาทูก็มีอยู่หลายน่านน้ำทะเลไทย ทั้งประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฏร์ธานี จนถึงกันตังและปัตตานี ปลาที่จับได้มีชื่อว่า “ปลาลัง”  และ “ปลาทูตัวสั้น”

“ปลาทูลัง” หรือ “ปลายาว” มีขนาดใหญ่กว่าปลาทู ลำตัวเรียวยาว หน้าแหลมและผอม เกล็ดไม่ค่อยเรียบ ผิวเนื้อมีความเย็นเพราะดองน้ำแข็งมา ผิวไม่เหลืองนวลเหมือนปลาทูแม่กลอง  ส่วน “ปลาทูตัวสั้น” จะมีขนาดตัวเล็ก ผอม สั้นกว่าปลาทูลัง ปลาทูทั้งสองชนิดนี้ที่ตลาดปลา แม่ค้าจะแยกขายเป็น 4 ประเภท คือ 1.ปลาทูสดนำไปทำปลาทูนึ่ง  2.ปลาทูโรงงานหรือปลาทูกระป๋อง  3.ปลาทูเหยื่อ 4.ปลาทูสด  ซึ่งการแยกประเภทนี้ขึ้นอยู่กับความสดของปลา ถ้าปลาไม่สดผิวลอกง่ายก็นำไปทำปลาโรงงาน  ถ้าปลาไม่สดเลยเกือบจะเน่าแล้ว คนกินไม่ได้ ก็นำไปทำปลาทูเหยื่อให้แมวหรือนำมาเลี้ยงปลา  ส่วนปลาทูแม่กลองจะนำมาขายสดและทำปลาทูนึ่ง

วิธีสังเกตปลาทูแม่กลอง ถ้าเป็นปลาทูแม่กลองแท้จะต้องสั้นทั้งหมด คือหน้าสั้น ตัวสั้น หนังมีสีเหลือง ตาดำ ครีบหางเหลือง เกล็ดเรียบลื่น ไม่แข็ง เวลาจับผิวเนื้อจะนุ่ม  ปลาทูแม่กลองมีเนื้อนุ่ม รสอร่อย นี่เองทำให้คนแม่กลองนำปลาทูไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายรูปแบบ โดยเฉพาะปลาทูนึ่งของแม่กลองมีลักษณะเฉพาะตัวเลียนแบบไม่ได้ พอเจอปลาทูนึ่งเข่งในตลาดจะรู้ทันทีว่าเป็นปลาทูจากแม่กลอง ซึ่งมักเรียกกันว่า “ปลาทูแม่กลอง” ต้องหักหัวให้พอดีกับเข่ง ทำให้หน้างองุ้มลง การเรียงปลาทูแม่กลองถือว่าเป็นการเรียงปลาที่สวยงามที่สุด เคล็ดลับอยู่ที่การหักหัวปลาทูนี่เอง

ปลาทูนึ่งมีกรรมวิธีการทำที่ไม่ใช่การนึ่ง แต่เป็นการต้มหรือลวก โดยบรรจุปลาในเข่งไม้ไผ่ จากนั้นนำเข่งเรียงลงในกระชุจนเต็ม (กระชุ เป็นเข่งไม้ไผ่สานตาห่างๆ ทรงสูง ขนาดไม่ใหญ่มากนัก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-2 ฟุต) แล้วนำกระชุปลาลงไปแช่ในกระทะใบบัวก้นลึก ที่มีน้ำเกลือต้มเดือดปุดๆ แช่ไว้สัก 3-5 นาที  ถ้าปลาตัวเล็ก 3 นาทีก็ยกขึ้นได้ ต้องกะเวลาในการต้มให้พอดี ถ้าต้มนานไปเนื้อปลาจะแตกไม่น่ากิน ก่อนจะยกกระชุปลาขึ้นต้องตักน้ำเกลือราดบนเข่งปลาทูอีกครั้ง เพื่อให้ความชุ่มของเนื้อปลาคงอยู่ ปลาทูไม่ติดเข่ง เวลาต้มต้องใช้ไฟแรง เพื่อให้ปลาสุกข้างนอกแล้วระอุไปถึงเนื้อปลา เทคนิคการทำปลาทูนึ่งอยู่ที่ความสดของปลาทู ปลาทูแม่กลองมีความสดในตัวอยู่แล้วเมื่อนำมาทำปลาทูนึ่ง รสชาติจึงกินขาดปลาทูจากแหล่งอื่น

งานเทศกาลกินปลาทูแม่กลอง เป็นงานประเพณีประจำปีที่หอการค้าจังหวัดสมุทรสงครามจัดต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว จุดมุ่งหมายเพื่อแสดงถึงวิถีชีวิตเชิงวัฒนธรรมของคนสมุทรสงคราม และกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัด ทั้งนี้ จากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจในรอบปีที่ผ่านมา ประชาชนไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งจังหวัดสมุทรสงครามก็อยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย หนทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของจังหวัดก็คือการจัดงานเทศกาลกินปลาทูเพื่อสร้างความสุข และกระจายรายได้สู่ประชาชนทุกระดับ สำหรับปีนี้ (2562) งาน “เทศกาลกินปลาทูแม่กลอง” จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 22 แล้ว ในชื่อ “รักใครให้กินปลาทู” โดยงานจะมีระหว่างวันที่ 13-22 ธันวาคม 2562 ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม

ภาพจาก www.baansiriporn.com

การจัดงานแบ่งเป็น 3 โซน ดังนี้  โซนที่ 1 ร้านอาหารปลาทู ที่ประกอบไปด้วยเมนูชูสุขภาพที่ปรุงจากปลาทูขึ้นชื่อจากอ่าว ก.ไก่ โดยมีร้านอาหารชื่อดังของจังหวัดสมุทรสงคราม มาร่วมกันออกร้าน  โซนที่ 2 เป็นการจัดนิทรรศการด้านศิลปะและสาระความรู้  โดยเครือข่ายภาคประชาชน ภาคการศึกษา และมหาวิทยาลัย โดยมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปากรและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้วางรูปแบบร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน นอกจากนี้ยังมี การประกวดวาดภาพของเด็กและเยาวชน การแสดงผลงานภาพวาดจากศิลปินระดับมืออาชีพ ผลงานนิสิตนักศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรม วิทยาลัยช่างศิลป์ ที่จะนำผลงานศิลปะทั้งภาพวาดและประติมากรรมที่ใช้ทำวิทยานิพนธ์มาจัดแสดง การนำเสนอภาพแนวกราฟิตี้

โซนที่ 3 การแสดงบนเวที เป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าสมัยก่อนกับสมัยใหม่ อาทิ การแสดงโขนโรงนอก การบรรเลงดนตรีไทย การแสดงนาฏศิลป์ของเยาวชน การประกวดแตรวงพื้นบ้าน การประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง การประกวดดนตรีแม่กลองมิวสิคอะวอร์ด และการแสดงดนตรีจากอดีตนักดนตรีอาชีพชาวจังหวัดสมุทรสงคราม ในนามกลุ่ม “แม่กลองลายคราม” และที่ขาดไม่ได้ ห้ามพลาด เป็นการประกวด “ธิดาปลาทู”

สำหรับชื่อธีมงานปีนี้ “รักใครให้กินปลาทู” เป็นสุดยอดความคิดของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ชั้นประถมศึกษา “ด.ญ.กานต์ธิดา ผิวนวล” จากโรงเรียนสารสาสน์วิเทศน์สมุทรสงคราม ตัดสินจากเด็กๆ ที่ส่งชื่อเข้าประกวดเกือบ 300 คน โดยเด็กหญิงกานต์ธิดา บรรยายว่า

“..ปลาทู ของขึ้นชื่อของชาวจังหวัดสมุทรสงคราม เพราะปลาทูของ    แม่กลองไม่เหมือนใคร มีความอร่อย และมีประโยชน์ ให้คุณค่าทางโภชนาการมากมาย ทั้งยังนำมาแปรรูปได้หลายอย่าง หลากหลาย ได้ทั้งกับข้าวที่แสนอร่อย กินได้ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ทุกเพศ ทุกวัย หรือจะเป็นข้าวเกรียบปลาทู ที่ใครกินแล้วแสนจะติดใจ ฉะนั้นการที่เราจะมอบของขวัญของฝากให้กับผู้ที่เรารัก เพื่อสื่อแทนในใจว่า เราอยากมอบของที่มีคุณค่า มีประโยชน์ให้กับคนที่เรารัก ก็เหมาะมากที่จะเป็นปลาทูแม่กลอง ของขึ้นชื่อของจังหวัดเรา นั่นเป็นที่มาของตอนที่ชื่อว่า “สื่อรักแทนใจ รักใครให้กินปลาทู”

ภาพจาก www.baansiriporn.com
ภาพจาก www.baansiriporn.com