RSV ไวรัสตัวร้ายของเจ้าตัวเล็ก!!! “ยาเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันไวรัส RSV” ช่วยลูกน้อยห่างไกลไวรัสร้าย

ฤดูฝนทีไรคุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่จะเกิดความกังวลใจเป็นอย่างมาก เพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทำให้ลูกน้อยป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะ “โรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัส RSV” ซึ่งโรคนี้มองเผินๆ อาการเหมือนเป็นไข้หวัดธรรมดา แต่อาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นปอดอักเสบติดเชื้อได้ และหากปล่อยไว้อาจเกิดอันตรายถึงชีวิต

พญ.นงนภัส เก้าเอี้ยน กุมารแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลว่า     โรค RSV เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Respiratory Syncytial Virus เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของทางเดินหายใจได้ทั้งทางเดินหายใจส่วนบนและทางเดินหายใจส่วนล่าง พบได้ในเด็กทุกช่วงวัย จากข้อมูลของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบการติดเชื้อ RSV มากที่สุดในกลุ่มเด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 2 ปี รองลงมาคือกลุ่มเด็กอายุ 2-5 ปี ซึ่งโรค RSV จะมีการระบาดในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวของทุกปี 

พญ.นงนภัส เก้าเอี้ยน ให้ข้อมูลต่อว่า เด็ก ๆ ที่ติดเชื้อ RSV จะเริ่มแสดงอาการรุนแรงหลังจากเด็กติดเชื้อมาแล้ว 4-6 วัน เนื่องจากเชื้อ RSV จะมีระยะเวลาฟักตัวประมาณ 5 วัน โดย 2-4 วันแรกจะมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา คือ มีน้ำมูกใส ๆ หรือขาวขุ่นปริมาณมาก คอแดง หลังจากนั้นจะเริ่มไอและมีไข้สูงถึง 39-40 องศา เมื่อมีการติดเชื้อรุนแรงมากขึ้นจะส่งผลต่อทางเดินหายในส่วนล่าง ทำให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบ หายใจมีเสียงหวีด เหนื่อยหอบ หายใจเร็วและหายใจลำบาก กล่องเสียงอักเสบ และส่งผลให้เกิด “โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ” คุณพ่อคุณแม่ต้องหมั่นสังเกตอาการของลูกน้อย หากมีความเสี่ยงให้รีบมาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและรักษาทันที เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดภาวะระบบหายใจล้มเหลว อันตรายถึงชีวิตได้

Baby and mother relaxing at home

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรค RSV แพทย์จะทำการประเมิน และรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ แก้ไอละลายเสมหะ ในเด็กบางรายที่มีเสมหะเหนียวมาก ต้องทำการพ่นยาขยายหลอดลมหรือน้ำเกลือผ่านทางออกซิเจนละอองฝอย เคาะปอดและดูดเสมหะออก

พญ.นงนภัส เก้าเอี้ยน  กล่าวปิดท้ายว่า คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กและไม่อยากให้ลูกป่วยเป็นโรค RSV สามารถป้องกันได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้ 1. ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ 2. ทำความสะอาดของเล่นเด็กบ่อย ๆ ป้องกันการสะสมของเชื้อโรค 3. สร้างภูมิคุ้มกันด้วยการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในเด็กเล็ก และทานอาหารที่มีประโยชน์สำหรับเด็กโต 4. พักผ่อนให้เพียงพอ 5. ดื่มน้ำสะอาด 6. หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วย 7. งดพาเด็กไปเล่นในสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่น เช่น ห้างสรรพสินค้า 8. แยกข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ซักล้าง ทำความสะอาดหลังใช้งาน 

 ทั้งนี้ เพื่อป้องกันลูกน้อยจากโรค RSV ในปัจจุบันมี “โปรแกรมยาเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันไวรัส RSV” ลักษณะเหมือนการฉีดวัคซีนทั่วไป เพื่อกระตุ้มภูมิคุ้มกันให้กับเด็กๆ ลดความรุนแรงของโรค โดย “ยาเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันไวรัส RSV” เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในป้องกันโรค RSV ให้กับเด็ก ๆ โดยแนะนำฉีด 5 เข็ม ฉีดเดือนละ 1 เข็มในฤดูที่มีการระบาด เหมาะสำหรับทารกแรกเกิด โดยเฉพาะทารกคลอดก่อนกำหนด, เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีที่มีโรคปอดเรื้อรังหรือโรคหัวใจหัวใจ หรือเด็กที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่สนใจ “โปรแกรมยาเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันไวรัส RSVสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.1270 หรือ Website: www.praram9.com / Line: lin.ee/vR9xrQs หรือ @praram9hospital และ Facebook: Praram9 Hospital โรงพยาบาลพระรามเก้า HEALTHCARE YOU CAN TRUST เรื่องสุขภาพ…ไว้ใจเรา #Praram9Hospital อย่าลืมชวนคนที่คุณรัก มาร่วม “โอบกอดสุขภาพดีไปด้วยกัน” เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นในทุก ๆ วัน

จากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด ใครๆ ก็ใส่หน้ากาก ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า และแล้วหลายคนกำลังเผชิญปัญหาสิวบุกขึ้นหนังหน้า

คงไม่มีใครคาดคิดว่าการใส่แมสก์หรือหน้ากากชนิดต่างๆ เพื่อป้องกันไวรัสร้าย จะเป็นตัวการหนึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองผิว จนเกิดสิวบนใบหน้าได้ โดยเฉพาะตามรอบๆ ขอบหน้ากากอนามัย เพราะการใส่หน้ากากอย่างต่อเนื่องนานๆ นอกจากทำให้เกิดความอับชื้น คราบเหงื่อไคลแล้ว ยังเป็นแหล่งหมักหมมของเชื้อโรค แบคทีเรียชนิดต่างๆ มากมาย

ก่อให้เกิดปัญหาผิว ระคายเคือง ผื่นแดง ผื่นคัน สิวผด สิวอุดตัน ตลอดจนกรณีรัดแน่นไป โหนกแก้มกรามคางเกิดรอยย่นรอยยับ คอลลาเจนคืนตัวช้า บ่งบอกว่าผิวกำลังอยู่ในภาวะอ่อนแอ

มาดูวิธีใส่แมสก์ยังไง ให้ผิวรอดกัน

ลดขั้นตอนบำรุงผิว

เหลือแค่ 3 ขั้นตอน ได้แก่ เช็ดโทนเนอร์ ลงเซรั่ม และทาครีมเนื้อเจล หรือเนื้อน้ำ

เลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อหนัก อย่าง เนื้อครีม หรือเนื้ออิมัลชั่น เพราะความเข้มข้นจะอุดตันในผิวภายใต้หน้ากาก ก่อให้เกิดสิวได้ง่าย

งดแต่งหน้า

การแต่งหน้าร่วมกับการใส่หน้ากากเป็นการทำร้ายผิวทางอ้อม ไม่ใช่แค่ทำให้เกิดสิว แต่รวมไปถึงปัญหาริ้วรอยต่างๆ จะตามมาด้วย

อนุโลมลงเท่าที่จำเป็นจริงๆ อย่าง ครีมกันแดด รองพื้นลงแป้ง

ล้างหน้าให้สะอาดอย่างล้ำลึก

ยิ่งใส่หน้ากาก ยิ่งมีโอกาสที่สิ่งสกปรกต่างๆ เกาะติดมากับหน้ากาก ดังนั้นหลังถอดหน้ากาก ควรล้างหน้าทันที ถ้าทาครีมกันแดด รองพื้นลงแป้ง ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ลบเครื่องสำอางก่อน ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิว หลังซับหน้าแห้ง ใช้โทนเนอร์เช็ดที่ผิวด้วยสำลีสำหรับผิวหน้า เช็ดจนกว่าไม่มีคราบบนสำลี

ข้อดีของโทนเนอร์คือ นอกจากช่วยปรับสมดุลผิวแล้ว ยังช่วยรูขุมขนให้สะอาดยิ่งขึ้น

วิถีการใส่หน้ากากอย่างปลอดภัย

เพื่อลดการเสียดสีกับผิวโดยตรง ลองใช้กระดาษทิชชูรองก่อนสวมใส่หน้ากากอนามัย

ระหว่างวัน ไม่ควรเอามือมาสัมผัสกับหน้ากากมากเกินไป สัมผัสแค่เพียงตอนสวมเข้ากับถอดออก และจับที่สายคล้องเป็นพอ และถอดหน้ากากบ้างตอนอยู่คนเดียว ไม่ใช่ท่ามกลางคนล้อมรอบ ทั้งนี้ถอดในที่มีอากาศหมุนเวียนมากพอ เพื่อระบายอากาศ ผิวได้หายใจ

หน้ากากผ้าอนามัยถูกสร้างให้ใช้ครั้งเดียว เต็มที่สุด 3 วัน แล้วเปลี่ยนอันใหม่ ส่วนหน้ากากผ้าใช้แล้วซัก นำกลับมาใช้ต่อได้

รักษาสิว เลือกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์

ใครเป็นสิว จงใช้เจลแต้มสิว โดยเลือกเจลที่ปลอดภัย หรือมีส่วนผสมจากธรรมชาติเพื่อลดการะคายเคืองผิว

ที่สำคัญ ช่วงนี้แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์เจลบำรุงผิวที่มีว่านหางจระเข้ เพื่อช่วยป้องกันการระคายเคืองของผิว ลดผื่นแดง หรือมีส่วนผสมของวิตามินเอ ลดสิวอักเสบ แก้ปัญหาจุดด่างดำ กับวิตามินซี กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวที่โดนหน้ากากรัดคืนรูปเร็ว

ที่มา : ข่าวสด