“ปลากัด” เป็นสัตว์น้ำสายพันธุ์ไทยแท้ ที่อยู่ในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมคู่ประเทศไทยมาอย่างยาวนาน และปัจจุบันนั้นได้กลายเป็น “สัตว์น้ำประจำชาติ” 

นอกจากนี้ ปลากัดยังถือเป็นการค้าเชิงพาณิชย์และก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล มีการส่งออกปลากัดไทยไปแล้วกว่า 95 ประเทศ ปริมาณการส่งออกระหว่างปี 2556-2560 มีประมาณ 20.85 ล้านตัว/ปี มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 115.45 ล้านบาท/ปี หรือ 5.42 บาท/ตัว และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี

ในการผสมพันธุ์ปลากัด หลายคนคงคุ้นหูกับ “ปลากัดจ้องตากันแล้วท้อง” สรุปแล้วเรื่องนี้จริงหรือไม่?

คุณมนตรี สายศรี หรือคุณตั้ม เจ้าของ “ฟิน เบ็ตต้า” ฟาร์มปลากัดเล็กๆ แต่เป็นที่รู้จักกันดีของจังหวัดอ่างทอง บอกถึงประเด็นข้างต้นว่า “ไม่เป็นความจริง”

บางคนเชื่อว่า ปลากัดแค่มองตาก็ตั้งท้อง แท้ที่จริงแล้ว การเทียบปลาให้มองตากันเป็นวิธีลดความก้าวร้าวระหว่างปลาทั้งคู่ และเมื่อเห็นว่าความก้าวร้าวระหว่างคู่ลดลงแล้ว จึงจับใส่ภาชนะเดียวกัน เพื่อให้ปลาได้ผสมพันธุ์กัน ดังนั้น ความเชื่อที่ว่าปลากัดแค่มองตาแล้วตั้งท้องจึงเป็นความเชื่อที่ผิด

วิธีสังเกตความพร้อมของพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ปลากัด

อายุของพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลากัด ต้องไม่น้อยกว่า 3 เดือน จึงจะผสมได้ ซึ่งการผสมพันธุ์มีหลายแบบ ขึ้นกับเทคนิคการผสมของแต่ละฟาร์มที่ไม่เหมือนกัน

สำหรับ คุณตั้ม จะให้ความสำคัญที่ความสมบูรณ์ของพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ โดยเลือกพ่อพันธุ์ที่มีหวอดสมบูรณ์ ส่วนแม่พันธุ์เลือกตัวที่มีไข่ สังเกตที่ท้องมีสีเหลืองๆ เต่งออกมา จากนั้นนำภาชนะพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์เทียบกัน 1-2 วัน เพื่อลดความก้าวร้าวระหว่างปลาทั้งคู่ลง แล้วจึงนำแม่พันธุ์ใส่ลงไปในภาชนะพ่อพันธุ์ ปล่อยให้อยู่ด้วยกันนาน 4 วัน จากนั้นตักแม่พันธุ์ออก ปล่อยให้พ่อพันธุ์ดูแลไข่

เหตุที่ปล่อยให้พ่อพันธุ์ดูแลไข่ เนื่องจากเมื่อไข่เก็บอยู่ในหวอดแล้ว พ่อพันธุ์จะพ่นหวอดออกมาอีกเรื่อยๆ เพื่อพยุงไข่ไม่ให้ตกลงพื้นภาชนะ ยกเว้นกรณีที่พบว่า พ่อพันธุ์กินไข่ให้ตักพ่อพันธุ์ออก ปล่อยให้แม่พันธุ์อยู่กับไข่และหวอดแทน ทั้งนี้ควรให้อาหารพ่อพันธุ์อย่างเต็มที่ เพราะหากปล่อยให้พ่อพันธุ์หิว พ่อพันธุ์อาจกินไข่ที่มีก็ได้

ระหว่างที่พ่อพันธุ์เฝ้าหวอดและไข่ ควรให้ใบสีเสียดแห้งหรือใบหูกวางแห้ง ใส่ลงไปในภาชนะนั้นด้วย เพื่อให้ลูกปลาที่กำลังเริ่มโตได้มีที่เกาะ พยุงตัวลูกปลาไว้ อีกทั้งใบสีเสียดแห้งหรือใบหูกวางแห้ง จะช่วยให้น้ำมีความเป็นธรรมชาติ

เมื่อระยะเวลาผ่านไป 4-5 วัน ควรเริ่มให้อาหาร เป็นไข่แดงต้ม, ไรทะเล หรือ ไรจืด ในปริมาณน้อยมาก

จากนั้น ลูกปลาเริ่มเจริญเติบโตขึ้น อายุ 2 สัปดาห์ ขนาดลูกปลากัดเกือบเท่าปลาหางนกยูง ซึ่งไซซ์นี้อัตราการรอดของลูกปลากัดจะสูง

1-36
12-2

หลังจากนั้น ควรให้อาหารเสริมเป็นเต้าหู้ไข่ เพราะในเต้าหู้ไข่ มีไข่ แป้ง และวิตามินอื่นๆ ให้วันละครั้ง ปลากัดก็อยู่ได้ทั้งวัน อย่างไรก็ตาม การให้อาหารเม็ดนั้นก็ยังจำเป็นอยู่ เพราะเมื่อเปลี่ยน

ในการออกไข่แต่ละครั้งของปลากัด จะมีมากกว่า 1,000 ฟอง เมื่อเจริญเติบโตเป็นลูกปลา จะลดจำนวนลง เพราะเกิดความเสียหายระหว่างฟัก แต่อัตราการรอดของลูกปลากัดที่ทำได้มากที่สุดคือ 300-500 ตัว ต่อ ปลากัดจำนวน 1,000 ตัวที่ฟักออกมา และในจำนวนที่รอด สามารถคัดเป็นปลากัดเกรดสวยได้เพียง 20%

ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้านออนไลน์

ปัจจุบันความสวยงามของปลากัด เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้หลายคนหันมาเลี้ยงกันมากขึ้น จากเดิมปลากัดเป็นเพียงแค่ปลาต่อสู้ของเซียนพนันในหมู่บ้านเล็ก หลังจากที่มีคนนำปลากัดมาผสม และสร้างสายพันธุ์ใหม่ จนได้ปลากัดที่มีความสวยงาม และไม่เหลือเค้าโครงของปลากัด ทั้งหมดจึงเป็นที่มาของธุรกิจการเพาะเลี้ยงปลากัดที่สร้างรายได้หลายล้านบาทต่อปี มีตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศรองรับ

อย่างเช่นนางวิไลพร สามพิมพ์ อายุ 36 ปี และนายคมสันต์ สามพิมพ์ 2 สามีภรรยา ชาวบ้านโสน ต.แสลงพันธ์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ หลังว่างเว้นจากการทำนาข้าว ได้หันมาทำอาชีพเสริมโดยการเลี้ยงปลากัดแฟนซี ส่งขายต่างประเทศ และขายผ่านโซเชี่ยลโดยใช้ชื่อเพจ “ปลากัด บ้านปลาฟาร์มสุรินทร์” เพาะปลากัดส่งขายทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเริ่มต้นครั้งแรกใช้งบประมาณ 5 พันบาท ลงทุนซื้อพันธุ์ปลากัดและวัสดุอุปกรณ์ เพาะเลี้ยงปลากัดแฟนซีขายทำมาปีนี้เป็นปีที่ 2 สร้างรายได้เสริมจากเวลาว่างเว้นจากการทำนาข้าว เฉพาะปลากัดอย่างเดียว จะมีรายได้ประมาณ 12,000 บาทต่อเดือน หรือมีรายได้หมื่นอัพขึ้นไปจากการขายปลากัดแฟนซีปลากัดสวยงาม นอกจากนี้ ก็ยังรับทำตู้ปลาส่งด้วย ซึ่งก็ทำให้เกษตรกรรายนี้ครอบครัวมีรายได้หลายช่องทาง

ซึ่งการให้อาหารปลากัดจะใช้ไรแดงอนุบาลตั้งแต่เล็ก พอโตก็ใช้หนอนแดงและเต้าหู้ไข่เลี้ยง พร้อมกับอาหารเม็ดที่ใช้ลูกลูกอ๊อด นอกจากนี้ เพจ”ปลากัด บ้านปลาฟาร์มสุรินทร์” ยังได้มีการคัดปลากัดส่งเข้าร่วมในกลุ่มประมูลปลากัดอีกด้วย โดยจะมีลูกค้าในกลุ่มประมูลที่ชื่นชอบปลากัดทั้งจากเม็กซิโก จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซียและไทย เข้าร่วมประมูลกัน ส่วนราคาประมูลปลากัดที่คัดแล้วจะประมูลกันอยู่ที่ตัวละประมาณ 500 บาทขึ้นไป จนถึง 1,500-1,800 บาท แล้วแต่ประมูลได้ ซึ่งก็ทำให้นางวิไลพร และนายคมสันต์ 2 สามีภรรยา มีรายได้เพิ่มนอกเหนือจากการขายปลากัดผ่านโซเชียลอีกทางหนึ่งด้วย

นายคมสันต์ สามพิมพ์ เจ้าของฟาร์มปลากัด บอกว่า ตนเองและภรรยา ได้เริ่มต้นลงทุนครั้งแรกประมาณ 5,000 บาท เป็นค่าซื้อพันธุ์ปลากัดและวัสดุอุปกรณ์ ทำมาปีนี้เป็นปีที่ 2 ส่วนพันธุ์ปลาที่เพาะก็จะมี แกแล็กซี่ ไทเกอร์ หม้อฮาฟแฟนซี ส่งขายโดยผ่านสื่อโซเชียลและเข้ากลุ่มประมูลปลากัด เมื่อคัดปลากัดสวยงามแล้วราคาต่อตัวไม่ต่ำกว่า 500 บาทขึ้นไป จนถึง 1,500-1,800 บาทก็มี ตนเองและภรรยา มีรายได้เฉพาะขายปลากัดแฟนซีอย่างเดียวหมื่นอัพขึ้นไปต่อเดือน ยังไม่รวมการทำอย่างอื่นอีก เช่นทำนาข้าวและรับทำตู้ปลาและเลี้ยงปลาส่งขายอีก สำหรับตนเองแล้วคิดว่าตลาดปลากัดยังขยายไปได้อีกไกลในอนาคต

สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะปรึกษาและลองเลี้ยงปลากัด สามารถเข้ามาดูได้ที่เพจ”ปลากัด บ้านปลาฟาร์มสุรินทร์” หรือโทรสอบได้ที่หมายเลข 09-4659-4187

ที่มา : มติชนออนไลน์

3