เรื่องโดย กชกร สายแสง, กมลชนก ครุฑเมือง

เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว สำหรับร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดสไตล์เม็กซิกัน “ทาโก้ เบลล์” สาขาแรกในประเทศไทย ที่ศูนย์การค้า เมอร์คิวรี่ วิลล์ แอท ชิดลม ชั้น 1 หลังเริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2505 ในสหรัฐอเมริกา ความอร่อยที่รสชาติจัดจ้าน วัตถุดิบมีคุณภาพ ทำให้ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคจำนวนมากจนกลายมาเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ และให้บริการกว่า 7,000 สาขาทั่วสหรัฐอเมริกา และอีกกว่า 450 สาขาใน 29 ประเทศทั่วโลก

“เฉลิมชัย มหากิจศิริ” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าร้านทาโก้ เบลล์ เข้ามาในประเทศไทย กล่าวว่า ตนเคยลองทานตอนอยู่อเมริกา และรู้สึกชอบ ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีฟาสต์ฟู้ดสไตล์เม็กซิกัน จึงอยากให้คนไทยได้มีโอกาสได้ลิ้มลองรสชาติความเผ็ดร้อน กลมกล่อมของทาโก้ เบลล์ ซึ่งเป็นร้านอาหารจานด่วนกึ่งเม็กซิกันสไตล์ที่โด่งดังมากในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก และหวังว่าจะถูกปากนักชิมชาวไทย เพราะรสชาติที่จัดจ้านและความสดใหม่ของวัตถุดิบ เช่น เนื้อไก่และผักสดจากไทย เนื้อหมูจากออสเตรเลีย อโวคาโดจากเม็กซิกัน มันฝรั่งและชีสจากอเมริกา

“จุดเด่นอย่างแรกคือตัวซอสของทาโก้ เบลล์ ที่ซอสเผ็ดมีให้เลือก 2 ระดับ คือ hot sauce และ fire sauce ซึ่งถือว่าเป็นซอสที่เผ็ดที่สุดตั้งแต่เคยทำมา นอกจากนี้ยังพูดได้เลยว่าทาโก้ เบลล์ เป็นร้านฟาสต์ฟู้ดเม็กซิกันเจ้าแรกของประเทศไทย ที่คนสามารถมาเอ็นจอยกันได้ในราคาเริ่มต้นที่ 69-189 บาท”

“เฉลิมชัย” ยังบอกอีกว่า ไม่เพียงเท่านี้ ทาโก้ เบลล์ จะยังเป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแนวใหม่นอกจากนักชิมจะได้ลิ้มรสความจัดจ้านสไตล์เม็กซิกันแล้ว ยังมีบริการ Joox box ที่ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันคลาวด์ ดีเจ โดยที่สามารถกดโหวตเพลงที่อยากฟังในร้านได้ เพลงไหนมีผลโหวตมากที่สุดจะได้เล่นเป็นเพลงถัดไป ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าจะขยายสาขาของทาโก้ เบลล์ ให้ได้ 40 สาขาใน 5 ปี

สำหรับเมนูภายในร้านทีได้รับความนิยมมากที่สุดหรือมีแค่ในประเทศไทย คือ “คิกกิ้น ชิคเก้น ทาโก้” (Kickin’ Chicken Taco) ไก่ทอดกรอบนอก นุ่มใน ห่อด้วยแป้งตอติญ่าแสนนุ่ม เพิ่มรสชาติจัดจ้านด้วย “คิกกิ้น ซอส” (Kickin’ Sauce) และซาวครีม ท็อปด้วยผักสด มะเขือเทศ และเชดด้าชีส

นอกจากนี้ยังมีเมนูต่อมาที่ได้รับความนิยมพอๆ กันอีกหลากหลายเมนู อาทิ

“ทาโก้ ซูพรีม” (Taco Supreme) เด่นด้วยแป้งทาโก้กรอบๆ หรือจะเลือกแบบนุ่ม ทานคู่กับไก่บด, ไก่ย่าง, ไก่ทอด หรือหมูฉีกสไตล์เม็กซิกัน ราดซอสเผ็ดสูตรลับเฉพาะของทางร้าน เพิ่มรสกลมกล่อมด้วยซาวครีม และ เชดด้าชีส ทานคู่กับผักสดและมะเขือเทศ

“เคซาติญ่า” (Quesadilla) เมนูนี้โดดเด่นด้วยแป้งตอติญ่า นุ่มละมุนลิ้นแบบหนึบๆ ด้วยไส้ชีส 2 ชนิด มอสซาเรลล่าชีสและเชดด้าชีส เพิ่มความลงตัวด้วยซอสเฮลาพิโน โดยสามารถเลือกได้ว่าจะทาน เป็นไก่บดหมักเครื่องเทศ, ไก่ย่าง, ไก่กรอบ, หรือหมูฉีกสไตล์เม็กซิกัน

ปิดท้ายด้วยของว่างเคี้ยวเพลินกับเมนู “นาโช่ส์” (Nachos) ตอติญ่าชิพส์เสิร์ฟพร้อมกับดิปที่มีให้เลือกทั้ง 4 แบบ ดิปชีส ดิปอโวคาโด้ ดิปซอสเผ็ด และดิปซาวครีม

ร่วมพิสูจน์ความอร่อย จัดจ้าน กลมกล่อม ในสไตล์ร้าน “ทาโก้ เบลล์” ร้านอาหารกึ่งเม็กซิกันสไตล์ชื่อดังดังจากประเทศสหรัฐอเมริกาได้แล้ววันนี้ ที่ศูนย์การค้า เมอร์คิวรี่ วิลล์ แอท ชิดลม ชั้น 1

ได้ยินแล้วคงทำให้หญิงที่อยากมีลูกต้องปรับเปลี่ยนอาหารการกินกันไม่มากก็น้อย เมื่องานวิจัยใหม่เปิดเผยว่า ผู้หญิงที่กินผลไม้น้อย และกินอาหารฟาสต์ฟู้ดมาก มีโอกาสที่จะตั้งครรภ์น้อยลง และมีแนวโน้มที่จะมีภาวะมีบุตรยาก

งานวิจัยดังกล่าวเผยแพร่ในวารสารการแพทย์อย่าง Human Reproduction ซึ่งทำการวิเคราะห์อาหารการกินของผู้หญิง 5,598 คนในออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และไอร์แลนด์

ทีมวิจัยดังกล่าวนำโดยศาสตราจารย์แคลร์ โรเบิร์ต จาก University Adelaide’s Robinson Research Institute ในออสเตรเลีย ซึ่งพบว่าผู้หญิงที่กินฟาสต์ฟู้ด 4 ครั้งขึ้นไป/สัปดาห์ ใช้เวลานานกว่าปกติเกือบเดือนถึงจะตั้งครรภ์

ทั้งนี้ ฟาสต์ฟู้ดที่กำหนดในการทดลองเป็นฟาสต์ฟู้ดที่มาจากร้านฟาสต์ฟู้ดเท่านั้น แต่ไม่รวมฟาสต์ฟู้ดที่มาจากแหล่งอื่นอย่างซูเปอร์มาร์เก็ต ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงยังขาดข้อมูลฟาสต์ฟู้ดบางส่วนไป

อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงที่กินผลไม้ 3 ครั้งขึ้นไป/วัน มีแนวโน้มว่าจะมีโอกาสตั้งครรภ์เร็วกว่า ส่วนผู้หญิงที่กินผลไม้น้อยกว่า 1-3 ครั้ง/เดือน โอกาสในการตั้งครรภ์จะยาวนานออกไปอีกครึ่งเดือน

นักวิจัยระบุอีกว่า ผู้หญิงที่กินผลไม้น้อยที่สุด มีความเสี่ยงที่จะเป็นภาวะมีบุตรยากเพิ่มขึ้นจาก 8% เป็น 12% และผู้หญิงที่กินฟาสต์ฟู้ด 4 ครั้งขึ้นไป/สัปดาห์ จะเพิ่มความเสี่ยงจาก 8% เป็น 16%

“แนะนำว่าผู้หญิงที่อยากตั้งครรภ์ควรกินอาหารให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนตามที่มีคำแนะนำสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่าความถี่ของการกินอาหารฟาสต์ฟู้ดน้นส่งผลให้การตั้งครรภ์ล่าช้าออกไปอีก” เจสสิก้า เกรเจอร์ หนึ่งในทีมนักวิจัย ระบุ

ขณะที่การกินผักใบเขียวและปลาดูเหมือนจะไม่ส่งผลต่อระยะเวลาในการตั้งครรภ์

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากงานวิจัยนี้รวบรวมย้อนหลังระหว่างการเข้าพบผู้ทดสอบก่อนคลอดท้องแรก รวมไปถึงไม่มีข้อมูลอาหารการกินของพ่อเด็กด้วย ซึ่งทั้งสองส่วนนี้เป็นปัจัยที่มีผลกระทบ ซึ่งทีมวิจัยวางแผนว่าศึกษารูปแบบความเชื่อมโยงของอาหารกับแนวคิดนี้ต่อไป

หากพูดถึงเมนู “ไก่ทอด” ชุบแป้งกรอบๆ หลายคนคงนึกถึงเชนฟาสต์ฟู้ดดัง “เคเอฟซี” เป็นอันดับแรก ที่มีเมนูฮิตมากมาย โดยเฉพาะเมื่อเข้ามาขายในเมืองไทย ไก่ทอดร้านผู้พันเจ้านี้ก็ผุดเมนูเอาใจชาวไทยด้วย “ข้าวไก่แซ่บ” “ข้าวไก่ซี้ด” “ข้าวไก่เขียวหวาน” จนหลายร้านไปจนถึงร้านตลาดนัดก็มีเมนูแนวๆ นี้ขายไปด้วย อย่างไรก็ตาม ยังไม่เห็นว่าร้านไหนจะมีเมนูแปลกใหม่หรือขายดิบขายดีจนพอจะเป็นคู่แข่งกับเคเอฟซีได้

แต่ในประเทศอินโดนีเซีย มีเมนูไก่ทอดราคาไม่แพงอยู่เมนูหนึ่งที่มีชื่อว่า ayam geprek เป็นเมนูไก่ทอดราดด้วยน้ำซอสพริกโขลกหยาบๆ ซึ่งกำลังกลายเป็นเมนูฮอตปรอทแตกในอินโดนีเซีย โดยเป็นเมนูที่ไม่ได้มีในเคเอฟซี แต่พบในร้านอาหารทั่วไป ทำให้ร้านอาหารที่ขายเมนูนี้ขยายตัวขึ้นมากมายในช่วงปีที่ผ่านมา จนเรียกได้ว่าเขย่าวงการอุตสาหกรรมอาหารฟาสต์ฟู้ดและสร้างความท้าทายให้แก่เคเอฟซีเป็นอย่างยิ่ง

หนึ่งในร้านที่ขายเมนูนี้ก็คือร้าน Geprek Bensu ซึ่งตัวร้านตั้งอยู่ในย่านชุมชนบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงจาร์กาตา โดยในช่วงเวลามื้อกลางวันของวันธรรมดา ที่ร้านจะเนืองแน่นไปด้วยเด็กนักเรียนและพนักงานออฟฟิศ

เมนูที่ป๊อปปูลาร์สุดๆ ก็คือเซตที่ประกอบด้วยไก่ทอดราดซอสพริกโขลกแซ่บ เสิร์ฟพร้อมข้าวและแตงกวาหั่น นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มท็อปปิ้งเป็นชีส และสามารถเปลี่ยนข้าวเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวผัดแทนได้ โดยมีความเผ็ดให้เลือกถึง 10 ระดับ และมีราคาอยู่ที่ 16,500 รูเปียห์เท่านั้น หรือประมาณ 37 บาท

ออคตา หญิงทำงานวัย 23 ปี กล่าวว่า ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่จะไปสั่งเมนูที่มีไก่ทอดหรือเมนูเผ็ดๆ

ทั้งนี้ อินโดฯเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าเนื้อวัว ทำให้เนื้อวัวมีราคาแพง ส่งผลให้ไก่ทอดเป็นสินค้าที่พบมากที่สุดในตลาดฟาสต์ฟู้ดอินโดฯที่มีมูลค่า 22.67 ล้านล้านรูเปียห์ โดยเชนแฮมเบอร์เกอร์ต่างๆ เช่น แมคโดนัลด์, เบอร์เกอร์คิง และลอทเทอเรีย ต่างก็ต้องแข่งขันด้วยการเพิ่มเมนูไก่ทอดให้หลากหลาย

ขณะที่สถานการณ์การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ซึ่งรวมไปถึงการกินอาหารนอกบ้านในอินโดนีเซีย เริ่มผงกหัวขึ้นอย่างช้าๆ หลังราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้น อนาคตของอุตสาหกรรมอาหารฟาสต์ฟู้ดอาจต้องขึ้นอยู่กับความครีเอทีฟของร้านอาหาร ว่าจะสามารถนำเสนอเมนูไก่ที่ราคาถูกและน่าสนใจได้อย่างไร

ส่วนหนึ่งของวิธีแก้ปัญหาก็คือการที่ร้านอาหารสร้างความแปลกใหม่ให้ตัวเอง เช่น ร้านอาหารเกาหลีที่ชื่อว่า Ojju ที่เพิ่มเมนูชีสวางบนกระทะร้อน เวลากินจะให้พนักงานมายืดชีสแล้วพันบนเนื้อสัตว์ หรือเคเอฟซีที่มีช่วงหนึ่งนำเสนอเมนูไก่ทอดราดซอสช็อกโกแลตเผ็ด เป็นต้น

แต่สำหรับที่ร้าน Geprek Bensu เมนูที่ทุกคนต่างพูดถึงก็คือ ayam geprek โดยระดับความเผ็ดที่คนนิยมมากที่สุดก็คือระดับ 10 ที่เต็มไปด้วยพริกโขลกเต็มจาน โดยเวลากินจะไม่มีตะเกียบหรือมีดบนโต๊ะ แต่ลูกค้าจะต้องฉีกไก่ด้วยมือและกินคู่กับข้าว ซึ่งบอกเลยว่าเพียงหนึ่งคำก็ทำให้ปากของคุณเบิร์นสุดๆ จนต้องร้องขอน้ำสักแก้ว

ภาพที่เห็นได้ทั่วไปในทุกวันนี้คือ ลูกค้ารายหนึ่งมาถึงที่ร้าน มองหาโต๊ะภายในร้านที่ติดแอร์ ถึงแม้จะไม่มีแต่เขาก็ยินดีที่จะนั่งโต๊ะนอกร้านท่ามกลางอากาศร้อน และเอ็นจอยไปกับมื้ออาหารถึงแม้เหงื่อจะไหลออกมาพลั่กๆ

เมนู ayam geprek กลายมาเป็นเมนูฮิตระเบิดระเบ้อตั้งแต่ปี 2017 หลังผู้ก่อตั้งร้าน Geprek Bensu ที่ชื่อว่า Ruben Onsu ไปออกรายการโทรทัศน์ โดยปัจจุบันร้านอาหารดังกล่าวมีสาขามากกว่า 60 สาขาทั่วประเทศ และกำลังเริ่มเป็นคู่แข่งกับเชนฟาสต์ฟู้ดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซียอย่างเคเอฟซี ที่มีสาขาราว 600 สาขา

นอกจากนี้ การแชร์ภาพเมนูดังกล่าวบนแอปพลิเชั่นอินสตาแกรมยังช่วยให้ผู้คนรู้จักเมนูนี้มากขึ้น

ส่วนชื่อ ayam geprek ความหมายที่แท้จริงหมายถึง “ไก่ทุบ” ซึ่งมาจากวิธีการปรุงเมนูนี้นั่นเอง โดยส่วนผสมของน้ำราดด้านบนจะทำมาจากพริกไทยแดง, หัวหอมใหญ่, มะเขือเทศ, เกลือ และส่วนผสมอื่นๆ ที่ทำให้เผ็ด แล้วใส่ลงไปในเครื่องโม่ เพื่อทำน้ำซอสที่เรียกว่า Sambal ก่อนจะเติมลงในไก่ทอด แล้วโขลกพร้อมส่วนอื่นๆ ทั้งนี้ น้ำซอสของเมนูนี้จะเป็นสิ่งที่แตกต่างจากที่อื่น เพราะโฟกัสไปที่การคงความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารพื้นถิ่นด้วยน้ำซอสเผ็ดนั่นอง


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

ใครๆ ก็รู้ดีว่า “อิเกีย” นั้นเป็นดินแดนมหัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่น่าสนใจ, ทันสมัย และข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ที่มีความเก๋ จนเชื่อว่าหากใครได้ไปเดินอิเกียคงจะมีของล็กๆ น้อยๆ ติดมือมาบ้าง ถึงแม้จะมีของที่มีประโยชน์แบบเดียวกันนี้อยู่ที่บ้านแล้วก็ตาม

ซึ่งนอกจากเรื่องการออกแบบเฟอร์นิเจอร์แล้ว อิเกียยังกำลังพยายามคาดการณ์และออกแบอาหาร “ฟาสต์ฟู้ดแห่งอนาคต” ด้วย

โดยอิเกียมีห้องแล็บนวัตกรรมลับในโคเปนเฮเกน ซึ่งเรียกว่า สเปซ 10 สถานที่ที่อิเกียใช้ทำวิจัยและพัฒนาสินค้า รวมถึงการวิจัยโครงการที่เรียกว่า “การอยู่อาศัยแห่งอนาคต” ซึ่งก่อนหน้านี้โครงการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการทำ 3D printing เมนูมีทบอล

แน่นอนว่ามีทบอลของอิเกียเป็นจานเด็ดของใครหลายคน แต่อิเกียระบุว่า อาหารฟาสต์ฟู้ดในอนาคตนั้นต้องเป็นหรือควรจะเป็นอาหารที่ยั่งยืนและดีต่อสุขภาพ โดยที่ผ่านมามีทบอลจากการพิมพ์สามมิติก็เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองนำส่วนผสมอื่น เช่น แมลง, สาหร่าย และเนื้อที่เพาะในห้องทดลองมาใช้ แต่จากข้อมูลล่าสุดพบว่า โครงการสเปซ 10 จะเกี่ยวข้องกับการ “คิดใหม่” ในอาหารฟาสต์ฟู้ด ที่ยังคงความอร่อยแต่ว่าดีต่อสุขภาพ ดีต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม

ภาพจาก SPACE10

เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา สเปซ 10 ได้ภูมิใจนำเสนอเมนูที่มีชื่อว่า “ฮอตด็อกไร้ไส้กรอก” ซึ่งแทนที่ด้วยแครอทอ่อนตากแห้งและเคลือบ ราดด้วยซอสบีทและเบอร์รี่, มัสตาร์ด และครีมขมิ้น, หัวหอมซอย และแตงกวาซอย

ภาพจาก SPACE10

สิ่งที่แตกต่างไปจากฮอตด็อกแบบเดิมยังอยู่ที่ “ขนมปัง” ที่จะทำมาจากสไปรูลินา นั่นหมายความว่าขนมปังจะมีสีเขียว อุดมไปด้วยธาตุเหล็กและเบต้าแคโรทีน และมีโปรตีนมากกว่าฮอตด็อกธรรมดา

อีกเมนูจากสเปซ 10 ของอิเกียก็คือ “เบอร์เกอร์แมลง” ซึ่งเป็นเมนูที่พยายามจะชักชวนให้คนหันมากินโปรตีนจากแมลงมากขึ้น เนื่องจากแมลงเป็นแหล่งโปรตีนที่ยั่งยืน และคนหลายล้านคนบนโลกก็กินแมลงอยู่แล้ว แต่คนสหรัฐฯยังสะดุดใจกับแนวคิดนี้ เพราะมองว่าแมลงเป็นอาหารที่ไม่น่ากิน

ภาพจาก SPACE10

เพื่อแสดงให้เห็นว่าอาหารจากแมงนั้นไม่ได้น่ากลัว อิเกียจึงรังสรรค์เมนู “เบอร์เกอร์แมลง” ขึ้น ซึ่งเบอร์เกอร์แต่ละอันจะประกอบด้วยบีทรูท 100 กรัม, หัวผักกาด 60 กรัม, มันฝรั่ง 60 กรัม และหนอนนก 60 กรัม ซึ่งทำให้ได้เบอร์เกอร์ที่มีสีแดงเข้มและดูคล้ายเนื้อ ย่างให้พอดี เสิร์ฟพร้อมบีทรูทและซอสแบล็คเคอร์แรนท์, ซอสกระเทียม และพืชพวกไมโครกรีน

ภาพจาก SPACE10
ภาพจาก SPACE10

เป้าหมายของอิเกียในการพัฒนาฟาสต์ฟู้ดแห่งอนาคตนั้นก็เพื่อ “เปลี่ยนความคิดของผู้คนเกี่ยวกับอาหาร” และ “สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนลองกินส่วนผสมใหม่ๆ” รวมถึงทำอาหารที่กินได้จริงและอร่อย

น่าเสียดายที่เมนูเหล่านี้เป็นเพียงงานวิจัยเท่านั้น และอิเกียยังไม่มีแผนที่จะนำเบอร์เกอร์แมลงจำหน่ายในร้าน แต่ยังสนใจว่าอาหารในอนาคตควรจะเป็นแบบไหน หรือไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะได้ไปซื้อขนมปังสไปรูลิน่าและมีทบอลหนอนนกที่อิเกียก็ได้!

 

เครดิตภาพจาก SPACE10


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111