ผมมารู้จัก “น้ำพริกอ่อง” แบบดั้งเดิมของชาวเมืองเหนือเมื่อโตเป็นวัยรุ่นแล้ว หมายถึงน้ำพริกที่ปรุงโดยเอาเนื้อหมูติดมันสับหยาบๆ ผัดกับเครื่องพริกแห้งเม็ดใหญ่ตำจนมีน้ำมันสีแดงเข้มขลุกขลิกลอยหน้า หอมกลิ่นถั่วเน่าแข็บเค็มๆ เปรี้ยวกลมด้วยมะเขือส้ม โรยต้นหอมผักชี จ้ำข้าวเหนียวกินกับผักสด แคบหมู แบบนั้นน่ะครับ

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีผู้รอบรู้เรื่องอาหาร เขียนไว้ในหนังสือน้ำพริกของท่านว่า ที่จริงน้ำพริกนี้ควรเรียก “น้ำพริกอ่อม” ท่านบอกว่า “อาศัยความละม้ายคล้ายคลึงระหว่างน้ำพริกครกนี้กับแกงอ่อม ผมจึงตัดสินใจเรียกว่าน้ำพริกอ่อมตลอดมา..”

ความเหนือชั้นของน้ำพริกอ่องนั้น ผมคิดว่าอยู่ที่ มะเขือส้ม มันเป็นมะเขือเทศลูกเล็ก รสเปรี้ยวจัดอมหวานนิดๆ เมื่อใส่มากๆ จะคุมรสเปรี้ยวรสหวานในน้ำพริกอ่องได้แบบไม่ต้องเพิ่มมะขามเปียกหรือน้ำตาลอ้อยเลย และดังที่วงการโภชนาการสมัยใหม่ทราบดีว่ามะเขือเทศมี ไลโคปีน (lycopene) สูงมาก มันจึงช่วยสนับสนุนให้ร่างกายสร้างสภาวะต่อต้านสารอนุมูลอิสระอันเป็นโทษแก่สุขภาพได้ดีขึ้น

ผมคิดของผมมานานแล้วว่า น้ำพริกอ่องนี้ช่างละม้ายซอสเนื้อแบบยุโรปหลายสำรับ เป็นต้นว่า ซอสโบโลเนส (Bolognese Sauce) ทั้งสีสัน วัตถุดิบ และวิธีปรุง จึงได้แอบคิดเสมอมาว่า ถ้าเอาน้ำพริกอ่องมาราดพาสต้าเส้นเล็กๆ กิน ก็ควรอร่อยแน่ พอดีกับไปได้มะเขือส้มทั้งแบบดิบ (เปรี้ยวมาก) และสุก (เปรี้ยวอมหวาน) มาจากรถพุ่มพวงในหมู่บ้าน เลยจะขอลองปรับระดับ ขยับสูตรน้ำพริกอ่องกระทะนี้ให้ออกแนว “อินเตอร์” สักหน่อย

ต้มเส้นสปาเกตตีเตรียมไว้เลยครับ หากใครชอบเส้นอื่นๆ คล้ายๆ กัน ก็เลือกได้ เช่น จานนี้ผมใช้หมี่ไข่แบบอิสลาม เส้นจะออกแนวนุ่มๆ เหนียวๆ ละมุนๆ หน่อย

“ซอสเนื้ออ่อง” นี้ ผมยังยืนพื้นอยู่ที่วิธีการของน้ำพริกอ่อง แต่ขอใช้เนื้อวัวแทนเนื้อหมู ดังนั้นก็หาเนื้อวัวสับมาเตรียมไว้ครับ เครื่องน้ำพริกใช้พริกแกงส้มแบบภาคกลางก็ได้ ด้วยว่ามันมีส่วนผสมของพริกแห้งเม็ดใหญ่และหอมแดงเป็นหลักอยู่แล้ว เราแค่ปอกกระเทียม หอมแดง เพิ่มถั่วเน่าแข็บปิ้งไฟจนกรอบหอม ตำสามอย่างนี้รวมกับน้ำพริกในครกใบใหญ่

จากนั้น ใส่เนื้อสับลงไปตำ ตามด้วยมะเขือส้ม เอาสากบุบๆ ให้แตก ตำเคล้าจนเข้ากันดี ไม่ต้องให้มะเขือส้มแหลกละเอียดมากนักหรอกนะครับ

อีกอย่างที่ต้องใช้ เพื่อให้มีกลิ่นอายแบบซอสเนื้อ คือ มะเขือเทศเข้มข้น (Tomato paste) ครับ

ใบผักโรย ผมตั้งใจใช้หอมเบี้ย หรือผักสะแงะ มันเป็นผักชีแบบหนึ่งที่คนเหนือกินสดหรือใส่แกง ก็หมายจะให้มีกลิ่น “เมืองๆ” น่ะครับ ทั้งหมดนี้คือความพยายามสถาปนา “ความเป็นอื่น” ให้เกิดลักษณะเฉพาะขึ้นสำหรับจานนี้นั่นแหละครับ

เริ่มปรุงกันแบบง่ายๆ โดยเทน้ำมันหมูลงกระทะ หรือถ้าจะให้ซับซ้อนแบบที่ผมทำ ก็คือเจียวมันหมูขาวจนได้น้ำมันหมูใสๆ แล้วตักเอากากหมูขึ้นไว้ก่อน

ใส่เครื่องพริกตำเนื้อสับของเรา ผัดคั่วไฟกลางไปเรื่อยๆ เติมมะเขือเทศเข้มข้น เด็ดผักสะแงะใส่ไปด้วย ติ๊ต่างว่าเป็นผักชีฝรั่ง (Parsley) แล้วชิมดูว่าขาดรสอะไรไป หากว่าอ่อนเปรี้ยว เค็ม หวาน ก็เติมน้ำมะขามเปียกหรือน้ำส้มสายชูหมักตามที่ชอบ เกลือป่น น้ำตาลอ้อย โดยคอยเติมน้ำให้ได้ซอสข้นใสแบบที่เราต้องการ

พ้นไปจากรสซอสเนื้อมะเขือเทศแบบยุโรปที่หลายคนคุ้นเคยแล้ว “ซอสเนื้ออ่อง” กระทะนี้มีรสเผ็ดหอมจากพริกแห้งเม็ดใหญ่โดดเด่นขึ้นมา ผสานรสเค็มและกลิ่นหมักแบบพื้นเมืองเหนือของถั่วเน่าแข็บ แถมความข้นเปรี้ยวของ Tomato paste ยังถูกเสริมด้วยรสเปรี้ยวแหลมของมะเขือส้มทั้งเปลือกที่เจือรสฝาดแต่เพียงเล็กน้อยด้วย

อุ่นจนข้นได้ที่ ตักราดจานเส้นแป้งที่เราโปรดปราน โรยหน้าด้วยผักสะแงะหั่นหยาบ แล้วถ้าใครทำแบบผมในขั้นตอนแรก ก็ย่อมจะมีกากหมูกรอบๆ หอมๆ โรยหน้าสลับแซมด้วยอย่างสวยงาม

การที่ผมเผลอไปนิยามว่าน้ำพริกอ่องจะ Go international ในตอนต้น อาจดูเหมือนหมิ่นแคลนรสชาติท้องถิ่นจนเกินไปครับ เพราะที่จริงแล้ว วัฒนธรรมอาหารน่ะไม่ควรมีใครอุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาเป็นศูนย์กลางเหนือคนอื่นได้หรอก

จริงไหมล่ะ ?

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย
เปิดสูตร ต้มผู้กอง เมนูต้มผักกาดดองแบบเผ็ด อร่อยเด็ดต้องกินกับข้าวสวยร้อนๆ

ต้มผู้กอง หรือ ต้มผักกาดดองแบบเผ็ด เมนูหน้าตาจะเหมือนกับซี่โครงหมูผักกาดดอง แต่รสชาติจัดจ้านเผ็ดร้อนกว่า ว่ากันว่าเมนูนี้มีที่มาจากร้านดังร้านหนึ่งในอำเภอโพธิ์ทอง จ.อ่างทอง มีตำนานเล่าอ้างกันหลากหลาย จนไม่รู้จะเชื่ออันไหน

แต่ที่แน่ๆ เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ นำวิธีการทำเจ้าเมนูนี้มาฝากลูกเพจกัน ซึ่งคนทำอาหารไม่เป็น (แบบแอด) ก็ทำทานได้แน่นอน โดยวัตถุดิบและวิธีทำ มีดังนี้

วัตถุดิบ

1. ผักกาดดอง 1  กระป๋อง

2. หมูสามชั้นหั่นบาง หรือ หมูบะช่อ

3. พริกขี้หนูสวน

4. มะนาว

5. ผักชี

6. เครื่องปรุง (ซีอิ๊วขาว ผงชูรส)

7. น้ำเปล่า

วิธีทำ

1. ตั้งเตาและใส่น้ำประมาณ 2 แก้วลงหม้อ ต้มให้เดือด

2. หั่นผักกาดดองบางๆ ใส่ลงไป 

3. จากนั้นนำหมูสามชั้นหั่นชิ้นพอดีคำ ลงไปเคี่ยวจนเปื่อย

4. ทุบพริก มะนาวใส่ลงไป และปรุงรสตามใจชอบ

5. โรยหน้าด้วยผักชี พร้อมเสิร์ฟ

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

เปิดสูตร ยำหอยโข่ง เมนูสุดแปลก จากร้านส้มตำประตูเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า

หลังจากที่นำเสนอข่าว เมนูยำหอยโข่งกระตุ้นยอดขายช่วงโควิด ของคุณฟาร์ม-นัฐธิชานนท์ ถาวร เจ้าของร้านส้มตำประตูเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า วัย 32 ปี ไปแล้ว (อ่านข่าวก่อนหน้า คลิก) หลายคนอาจอยากลองชิมแต่ไม่สามารถไปถึงยโสธรถิ่นกำเนิดเมนูได้ คุณฟาร์มจึงได้อนุเคราะห์ บอกวิธีการทำเมนูสุดแปลกดังกล่าวไว้ให้ โดยมีวัตถุดิบและวิธีการทำ มีดังนี้

วัตถุดิบ

  1. หอยโข่ง
  2. พริกสด หรือ พริกแห้ง
  3.  น้ำปลาร้า

  4. มะนาว

  5. ผงชูรส

  6. มะกรูด

  7. ข่า

  8. ตะไคร้

  9. เกลือ

  10. น้ำตาลทราย

  11. กระถิน หรือ ผักชีลาว

วิธีทำ

  1. ล้างหอยโข่งให้สะอาด
  2. นำหอยโข่งไปต้มให้สุก โดยใส่มะกรูด ข่า ตะไคร้ และเกลือลงไป เพื่อดับกลิ่น
  3. เมื่อหอยสุกแล้ว ให้ตักมาพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
  4. จากนั้นนำไปปรุงรสยำตามใจชอบ โดยใส่น้ำตาลทราย ผงชูรส และพริกปรุงรส ซึ่งคุณฟาร์มบอกว่า ถ้าจะให้อร่อยต้องใช้น้ำปลาร้าในการยำจึงจะดี
  5. ตักใส่จาน ใส่กระถินหรือผักชีลาวแต่งหน้า ให้ดูน่ารับประทาน เป็นอันเสร็จ

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

คนชอบกินสำรับกับข้าวแบบ “กุ๊กช็อพ” ฝีมือคนจีนไหหลำคงมีไม่น้อยนะครับ ค่าที่ว่าพ่อครัวแม่ครัวคนจีนไหหลำนั้นเคยมีทักษะที่เยี่ยมยอดในการปรุงกับข้าวทั้งจีนและฝรั่งตามโรงแรมดังๆ เช่น โรงแรมเอราวัณ ดุสิตธานี โอเรียเต็ลสมัยเมื่อหลายสิบปีก่อน แถมร้านอาหารไหหลำก็ยังมีอยู่ทั่วทุกหย่อมย่านในเมืองใหญ่ทุกวันนี้ ใครชื่นชอบข้าวมันไก่ไหหลำที่ใช้ไก่ตัวเล็ก คอยาว หนังกรอบ เนื้อหนึบเด้งสู้ฟัน ย่อมต้องติดใจเนื้อแพะตุ๋นใส่ฟองเต้าหู้ ผัดวุ้นเส้นจับฉ่าย เนื้อซีเต็กซีตู ก้านเผือกดองผัดเนื้อปลา หรือหมี่กรอบสูตรเดิมๆ แบบที่ทอดเครื่องเคราทุกอย่างในกระทะใบเดียวกันไปเลย ฯลฯ

จนชั้นแต่ตับหมูหรือกุ้งทอดกระเทียมพริกไทย พ่อครัวไหหลำก็ทำได้โดดเด่นแบบง่ายๆ จนไม่มีใครลืมเลือนรสชาติของน้ำมันทอดเขละๆ เค็มๆ หวานๆ ที่คลุกข้าวสวยอร่อยเลิศนั้นได้

ผมเพิ่งไปกินกับข้าวไหหลำร้านเก่าแก่ลึกลับย่านตลาดน้อย กรุงเทพฯ กับเพื่อนๆ มาอย่างสมใจ ได้ระลึกชาติกับข้าวสวยร่วนๆ คลุกน้ำมันทอดกระเทียมก้นจาน ที่เนื้อกุ้งถูกจิ้มกินหมดไปก่อนแล้วอย่างอร่อย กลับบ้านมาแล้วก็อยากทำกินเองบ้าง แต่จับจ่ายกับข้าวได้มาแต่กุ้งเลี้ยง (ร้านเขาน่าจะใช้กุ้งทะเล หรือกุ้งก้ามกรามตัวเล็ก) เลยคิดว่า จะลอง “จัด” สำรับชุดเล็กให้ กุ้งทอดกระเทียมแบบเชลยศักดิ์ สำหรับพ่อบ้านแม่บ้านทั่วๆ ไปจะพอทำกินเองได้ประหยัดๆ สักชุดหนึ่ง แม้ไม่ได้เนื้อกุ้งดีๆ แบบร้านไหหลำ แต่เราชดเชยด้วยการใช้วัตถุดิบอย่างเต็มที่ในหนึ่งอิ่ม รับรองว่าคุ้มแน่ๆ

จัดการกับกุ้งกันก่อนครับ โดยล้างให้สะอาด แกะเปลือก หัว หาง ใส่หม้อน้ำ เติมเกลือ ต้มรุมไฟกลางเพื่อให้ได้น้ำซุปกุ้งหวานๆ แล้วกรองเอากากทิ้งเมื่อต้มไปได้ราวครึ่งชั่วโมง

เนื้อตัวกุ้งก็ผ่าหลัง ชักเส้นดำออก ตัดส่วนมันกุ้งใส่ถ้วยไว้ หั่นเนื้อเป็นท่อนๆ

ทุบกระเทียมจีน ป่นพริกไทยดำหยาบๆ คราวนี้ผมใช้พริกไทยกัมปอตอันลือชื่อของกัมพูชา ใครไปเที่ยวเมืองเขมร ลองเดินตลาดหาซื้อมาไว้ปรุงกับข้าวซีครับ

หาเห็ดฟางมาปอกล้าง หั่นชิ้นไว้ เตรียมข่าตะไคร้ใบมะกรูด พริกขี้หนูสด ใบผักชี น้ำปลา มะนาวไว้อย่างละนิดละหน่อย

ที่ต้องเตรียมเครื่องเคราตามขั้นตอนรายละเอียดดังนี้ ก็ขอเฉลยว่า ผมตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากกุ้งสดให้คุ้มค่าที่สุดในมื้อนี้ โดยจะทอดเนื้อของมันกับพริกไทยกระเทียมเป็นจานหลัก เปลือกและหัวต้มปรุงเป็นน้ำซุปต้มยำ และมันกุ้งสดเอาผัดให้งวดเป็นคล้ายของคลุกข้าวสวยกินราดน้ำปลาพริกแซ่บๆ เป็นอันครบ “สำรับชุดเล็กไหหลำ” เลยไงครับ

เริ่มทำโดยตั้งหม้อน้ำซุปกุ้งบนเตา พอเดือด ใส่เห็ดฟาง ข่าตะไคร้ใบมะกรูด เมื่อกลิ่นเห็ดและสมุนไพรสดออกมาหอมดีแล้ว ปิดฝาหม้อไว้ก่อน หันมาเด็ดผักชี ทุบพริก บีบมะนาว เหยาะน้ำปลาใส่ชามโคมรอไว้

เอากระทะเหล็กตั้งเตา ใส่น้ำมัน โรยเกลือป่น ถ้าจะให้เหมือนกับข้าวไหหลำ น้ำมันควรให้มากสักหน่อยครับ เมื่อร้อนจัด เทกระเทียมพริกไทยผัดพอฉี่ฉ่าแค่แป๊บเดียว จึงใส่เนื้อกุ้ง เร่งไฟแรงสุด ผัดเร็วๆ เหยาะซีอิ๊วดำเค็มเอากลิ่นเพียงเล็กน้อย ตักใส่จานไว้

เทมันกุ้งลงผัดในกระทะใบเดิม อาจเพิ่มกระเทียมสับ เกลือป่นนิดหน่อย ผัดจนแตกมันสีส้มแดงสวยงามดีแล้วก็ตักใส่ถ้วยเล็กตั้งเคียงสำรับ ตอนนี้ก็ตักน้ำซุปต้มเห็ดฟางใส่ชามที่ปรุงเครื่องเตรียมไว้ได้แล้ว

อย่าลืมทำน้ำปลาพริกขี้หนูถ้วยเล็กๆ สักถ้วยล่ะครับ

เบื้องหน้าเราตอนนี้ ก็จะมี กุ้งทอดกระเทียมพริกไทยแบบไหหลำ รสมันๆ เค็มๆ หอมกลิ่นซีอิ๊วจางๆ หวานเนื้อกุ้ง ยิ่งถ้าใครเจอกุ้งดีๆ ก็จัดมาเลยครับ เนื้อย่อมจะกรอบเด้งกว่าที่ผมลองทำในคราวนี้แน่ กินๆ ไป พอฝืดคอ ก็ซดน้ำซุปต้มยำเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ เค็มอ่อนๆ หวานน้ำต้มเปลือกกุ้งและเครื่องสมุนไพรสดนั้นสักช้อนสองช้อน

ครั้นเนื้อกุ้งเริ่มพร่องจาน ชักอยากจะกินข้าวขึ้นมาแล้ว ก็คดข้าวสวยร้อนๆ มา ตักมันกุ้งผัดในถ้วยเล็กนั่นคลุกข้าวปนน้ำมันทอดกระเทียมในจานกุ้ง จนข้าวกลายเป็นสีส้มสวย ราดน้ำปลาพริกเพิ่มรสเผ็ดเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด แล้วตักเนื้อกุ้งที่ยังเหลือ มากินกับข้าวเป็นคำๆ ไป

อารมณ์เกือบๆ เหมือนเวลาไปนั่งกินกุ้งแม่น้ำเผา แล้วเอามันหัวกุ้งเยิ้มๆ มาคลุกข้าว แต่สำรับของเรานี้ถูกสตางค์กว่าเป็นสิบเท่าตัว เป็นการใช้กุ้งสดที่คุ้มทั้งตัวตั้งแต่หัวยันหาง ได้กับข้าวมาสามอย่างสบายๆ แถมทำง่ายๆ กินได้ทั้งครอบครัว

ลองดูสักมื้อซีครับ..

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

ฝึกฝีมือทำอาหารง่ายๆ สำหรับมือใหม่ ด้วยเมนู ข้าวไก่อบ ทานคู่ข้าวสวยร้อนๆ ฟินมาก

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ Health kitchen ทุกคน วันนี้มีอีกหนึ่งเมนูง่ายๆ ฝึกฝีมือ สำหรับมือใหม่ เพื่อการอยู่บ้านแบบคูลๆ เราต้องเป็นเชฟเพื่อสุขภาพกันด้วย เมนู ข้าวไก่อบ วันนี้ ทานคู่ข้าวสวยร้อนๆ ฟินมากกก ลืมไปเลยว่าทานข้าวบ้านอยู่ ทำกับข้าวเสร็จแล้ว อย่าลืมหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอนะคะ เราได้ทำงานอยู่ที่บ้าน ลดระยะเวลาในการเดินทางไปได้ตั้งเยอะ เอาเวลาส่วนนี้หันมาดูแลสุขภาพร่างกายตัวเองด้วยนะคะ ทำความสะอาดบ้าน รดน้ำต้นไม้ ก็ถือเป็นการออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายได้อย่างหนึ่งเช่นกัน ไปดูส่วนผสมกันเลยค่ะ

ส่วนผสม

ไก่ส่วนสะโพก chicken thigh                                ½  กิโลกรัม

มันฝรั่ง potato                                                     1 ลูก

แคร์รอต carrot                                                    1 หัว

*ก้านบล็อกโคลี่ broccoli core                              1 ก้าน

*ก้านดอกกะหล่ำ cauliflower core                        1 ก้าน

ข้าวโพด corn ½ ถ้วย

ถั่วฝักยาว grean bean or ถั่วลันเตา snowpea 1 ถ้วย

รากผักชี coriander root 4 ราก

กระเทียม garlic 6 กลีบ

ซอสหอยนางรม oyster sauce

ซีอี๊วขาว soy sauce

ซอสเทอริยากิ teriyaki sauce

ซอสมะเขือเทศ tomato sauce

พริกไทยขาวบดหยาบ white ground pepper

เนย butter

แป้งมัน หรือ แป้งข้าวโพด หรือ แป้งข้าวเหนียว tapioca flour / corn flour / glutinous rice flour

*ก้านบล็อกโคลี่และก้านดอกกะหล่ำ เมื่อเราหั่นดอกไปใช้ทำอาหารอื่นๆ แล้ว ตัวก้าน นำมาฝานเปลือกนอกออกเพิ่ม เพราะด้านนอกยังทำให้เคี้ยวยาก เหมือนผักแก่ พอเราฝานออก จะเหลือก้านในสีอ่อนๆ กรอบๆ ทานง่าย แล้วค่อยนำมาหั่นเต๋าค่ะ

วิธีทำ

นำไก่มาหั่นเป็นชิ้นเต๋าพอดีคำ สับกระเทียมและทุบรากผักชีโขลกกับพริกไทย หมักใส่ไก่และซอสหอยนางรม ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง

หั่นผักเป็นลูกเต๋า แล้วนำไปต้มให้สุก แล้วนำขึ้นพักไว้ให้เย็น

เมื่อหมักไก่ครบครึ่งชั่วโมงแล้ว ตั้งกระทะไฟกลาง เมื่อร้อน ใส่เนย ผัดไก่ในเนยจนสุก

พอไก่สุก ใส่ซอสเทอริยากิ ซีอิ๊ว ซอสมะเขือเทศและซอสหอยนางรมเพิ่ม ผสมน้ำเปล่ากับแป้งมัน กวนให้ละลายแล้วเทใส่ซอสในกระทะ ผัด จนซอสเริ่มข้นหนืด ปรับสูตร ชอบน้ำเยอะก็ใส่น้ำเปล่าและปรุงรสเพิ่ม หรือถ้าชอบขลุกขลิกซอสข้นๆ ก็ไม่ต้องใส่น้ำเพิ่ม

ใส่ผักลงไปคลุกเคล้าให้ทั่ว ตักเสิร์ฟทานกับข้าวสวยได้เลย

นอกจากนี้ เพื่อนๆ สามารถเปลี่ยนจากเนื้อไก่ เป็นสันในหมูก็ได้นะคะ แล้วแต่เพื่อนๆ ชอบได้เลย แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้าค่ะ ทานให้อร่อย 🙂

IMG_3803-1024x768

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

“คั่วหมูข่าโคม” รสชาติของตลาดซาวไฮ่

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา มีงานเล็กๆ ที่เครือข่ายคนทำงานด้านสิ่งแวดล้อม เกษตรอินทรีย์ และวัฒนธรรมชุมชนย่านอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี จัดขึ้นบริเวณลานข้างศาลาร้อยปีวัดบ้านไร่อันสวยงามสง่าขรึมขลัง งาน “เทศกาลรสชาติแห่งท้องถิ่น” ในช่วงเย็นย่ำค่ำของคืนนั้นมีผู้คนมาร่วมงานมากมายเกินคาด ผมคิดว่าคนที่มาเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนบ้านไร่เอง คงได้รู้จักกับข้าวแบบกะเหรี่ยง ลาว ขมุ มากมายหลายสิบอย่าง

แน่นอนว่า การเริ่มไปลองชิม ไปรู้จัก “ของกิน” อันเป็นปัจจัยสี่ที่สื่อสารข้ามวัฒนธรรมได้ไม่ยากเช่นนี้ ย่อมเป็นหนทางนำสู่ความเข้าใจตัวตนของเจ้าของวัฒนธรรม คือผู้ที่ปรุงแจ่ว คั่ว หมกแบบต่างๆ ให้เราลิ้มชิม ซึ่งแท้ที่จริงก็อยู่ร่วมในชุมชนด้วยกันกับเรามาเนิ่นนานนับร้อยๆ ปี

แจ่วน้ำข้าว แจ่วข้าวคั่ว หมกผัก หลามบอน หลามไก่ หนูอบโอ่ง กบยัดไส้ ฯลฯ เมื่อออกนอกบริบทวัฒนธรรมเดิม จึงพลอยมีสถานะเป็นสะพานเชื่อมข้ามอะไรอีกหลายสิ่งหลายอย่างไปด้วย

ที่บ้านไร่ยังมี “ตลาดซาวไฮ่” ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ เป็นที่ชุมนุมร้านจำหน่ายวัตถุดิบพื้นถิ่น ทั้งอาหาร เสื้อผ้า งานศิลปะครับ จึงเต็มไปด้วยน้ำพริกกึ่งสำเร็จรูป ผักพื้นบ้านสารพัดชนิด ของหมักดองเฉพาะย่าน อย่าง “หมูร้า” ตลอดจนข่า กล้วย มะเขือ ฟักหอม แตงเปรี้ยว และพริกกะเหรี่ยงทั้งสดและแห้งอันลือชื่อ มันเป็นสวรรค์ของคนครัวผู้หลงใหลความหลากหลายของวัตถุดิบพื้นถิ่นโดยแท้

ไปเดินตลาดซาวไฮ่คราวนี้ ผมได้หน่อข่าโคม เป็นข่าอ่อนพันธุ์พื้นเมืองต้นใหญ่ ได้พริกกะเหรี่ยงสด พริกตุ้มเม็ดกลม พริกแกงเผ็ด ปลาร้าสับผัด ต้นเหตุของการจับจ่ายของเหล่านี้ก็เพราะมีการสาธิตทำ “แกงป่ากบ” โดยพี่จุ๋ม หนุ่มชาวขมุอารมณ์ดี ที่ทำเอาคนมาเที่ยวงานท้องไส้ปั่นป่วนเพราะกลิ่นหอมและรสชาติหอมฉุนร้อนแรงของแกงหม้อนั้นไปตามๆ กัน

ผมนั่งดูการสาธิตนั้นอยู่ด้วย แล้วเลยได้ไอเดียว่า บางทีปัญหาของคนที่ไปเที่ยว ไปเดินตลาดแบบนี้ ถึงจะเห็นของแปลกๆ ละลานตา แต่มันนึกไม่ออกนี่สิครับ ว่าถ้าฉันซื้อมา จะเอาทำอะไรกินดี คราวนี้ผมเลยทดลองจัดให้สำรับหนึ่ง โดยวางฐานของ “คั่วหมูข่าโคม” นี้ไว้บนสูตรและวิธีของพี่จุ๋ม หนุ่มขมุบ้านไร่ ให้ออกแนวเป็นรสชาติของที่นี่ไปเลยแหละ

จัดการกับวัตถุดิบก่อน ผมลอกกาบแก่ของข่าโคมออกจนเหลือแต่หน่ออ่อน หั่นเฉียงบางๆ หน่อย กลิ่นหอมซ่าจะลอยติดมีดขึ้นมาเลยครับ

ล้างพริกกะเหรี่ยงสดและพริกตุ้มเม็ดกลมให้สะอาด ใบพืชหอมผมใช้รวมสี่อย่าง คือใบมะกรูดอ่อน ใบชะพลู ใบผักชี และใบขมิ้นชัน ซอยละเอียด สำหรับใบขมิ้นชันนั้น เป็นของที่กะเหรี่ยงใช้ใส่ในผัดเผ็ดเสมอ เราอาจต้องฝังหัวขมิ้นใส่กระถางปลูกไว้กินเองครับ กลิ่นหอมชื่นใจมาก แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรนะครับ

พริกแกงเผ็ดผมใช้ของบ้านไร่ ผสมกับปลาร้าสับผัด เพื่อปรุงรสเค็ม อันนี้เป็นขั้นตอนที่พี่จุ๋มเขาทำในการสาธิตแกงป่ากบ โดยผมใส่พริกพราน หรือมะข่วง สมุนไพรฉุนซ่าขึ้นชื่อของบ้านไร่ ป่นผสมไปด้วย
แล้วแทนที่จะใช้กบสดย่าง หนูนา หรืออะไรป่าๆ เราก็ประนีประนอมหน่อย กระทะแรกอย่าเพิ่งให้คนกินตื่นตกใจมากนัก ผมใช้หมูสับธรรมดานี่แหละครับ พบกันครึ่งทางแล้วกัน

คั่วหมูสับในกระทะเปล่าๆ บนไฟกลางก่อน ให้หมูสุก น้ำหมูออกมาจนเริ่มงวด จึงเติมน้ำมันเพิ่มนิดเดียว ใส่พริกแกงเผ็ด ปลาร้าสับผัด มะข่วงป่นลงไปผัดจนหอมฉุย เติมน้ำเพิ่มพอให้ขลุกขลิก สักพักก็ตามด้วยพริกสดทั้งสองอย่าง ชิมดู ถ้าไม่เค็มเติมเกลือครับ สูตรป่าๆ แบบนี้มักใช้รสเค็มจากเกลือ ทีนี้ก็ใส่ข่าโคมของเราลงไป

ผัดจนข่าเริ่มสุก จึงใส่ใบพืชหอมๆ ทั้งสี่อย่าง ที่จริงถ้าได้ผักชีบ้านๆ ต้นยาวๆ ที่เรียกว่าผักสะแงะ (จันทบุรีเรียก “ผักชีไร่”) จะดีมาก ตอนนี้กลิ่นจะหอมตลบทั้งครัว เป็นกลิ่นหอมที่เราอาจไม่คุ้นเคย แต่รับรองว่าใครชอบผัดเผ็ดรสจัดๆ จะไม่อาจทนความเย้ายวนของมันได้แน่ครับ

ถึงจะไม่เป๊ะๆ แต่ในเมื่อนี่คือวัตถุดิบของพื้นที่ แถมปรับเอาเทคนิควิธีปรุงฝีมือเจ้าถิ่นเป็นหลัก จึงอาจเรียกได้ว่า “คั่วหมูข่าโคม” กระทะนี้คือรสชาติของบ้านไร่กว่า 90 % ที่เหลือคือตัวตนของผู้ปรุง ซึ่งหากยิ่งลดอัตตาลงได้มากเท่าไหร่ ก็ถือว่าเข้าใกล้รสพื้นถิ่นมากขึ้นเท่านั้น

ลองสมมุติสถานการณ์แบบนี้กับตลาดพื้นบ้านแห่งอื่นๆ ดูซิครับ ผักหญ้ามังสาหารที่แตกต่างกัน ย่อมเปิดโอกาสให้เราเชื่อมโยง ผลิตสำรับใหม่ๆ ที่ผสมผสานฝีมือเราเข้ากับจิตวิญญาณและวัตถุดิบท้องถิ่นได้อย่างทั้งสนุกสนาน และอร่อยถูกปากไปพร้อมๆ กัน

ที่มาเสาร์ประชาชื่น, มติชนรายวัน 29 สิงหาคม 2563
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

เปิดสูตรยำแตงกว่าแบบจีน ทำแสนง่าย

อากาศร้อนปรอทแตกแบบบ้านเราในตอนนี้ ต้องกินอาหารเพิ่มความสดชื่นเย็นใจสักหน่อย ใครเลยจะคิดว่าในชีวิตนี้จะมาไกลขนาดที่บ้านเมืองมีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศา ฉันคิดถึง ยำแตงกวา แบบจีน ที่ทำแสนง่ายดาย แต่กินแล้วสดชื่นเหลือเกิน เหมาะกับสภาพอากาศในเวลานี้

ยำแตงกวาเย็น “เหลียงป้าน ฮว๋างกวา” 凉拌黄瓜 มีวัตถุดิบสำคัญ คือ แตงกวา แบบที่เราเรียกกันว่า แตงกวาญี่ปุ่น งานนี้แตงกวาไทยไม่เหมาะเพราะเนื้อน้อย ไส้เยอะ น้ำเยอะ แตงกวาญี่ปุ่นสมัยนี้หาซื้อได้ง่าย ของโครงการหลวงก็มี ราคาไม่แรงเหมือนสมัยก่อน ส่วนผสมมีไม่กี่อย่าง ได้แก่ กระเทียมสับ เกลือ น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู ถ้ามีน้ำส้มสายชูดำก็จะยิ่งดี ซีอิ๊วขาว น้ำมันงา และน้ำมันพริก

อาวุธสำคัญ คือ มีดปังตอ เราจะวางแตงกวาไว้บนเขียงแล้วเอาปังตอฟาดลงไปให้แตงแตก จึงเรียกยำแตงกวาเย็นได้อีกอย่างว่า “พ่ายฮว๋างกวา”  拍黄瓜 ตามกริยาการฟาดแตง

จากนั้นจึงหั่นเป็นท่อนๆ เอาแตงกวาใส่ชามโคม ผสมกระเทียมสับ เกลือ น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู  ซีอิ๊วขาว น้ำมันงา และน้ำมันพริกให้เข้ากัน ชิมรสดูจนกว่าจะพอใจ โดยจะต้องมีรสเปรี้ยวนำ ตามด้วยรสเค็มนิดๆ เผ็ดหน่อยๆ แล้วราดน้ำยำลงไปบนแตงกวา จะโรยงาคั่วด้วยก็ได้ คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วนำไปแช่ตู้เย็นในช่องธรรมดาให้เย็นจัด เวลานำมากิน แตงจะกรอบและชื่นใจมาก  ยำแตงกวานี้ ควรทำแค่พอกินในครั้งหนึ่ง เพราะถ้าเก็บไว้นานน้ำแตงกวาจะออกมาท่วมจนไม่น่ากิน และความอร่อยจะลดน้อยลง

วิธีที่จะนำน้ำแตงกวาออกมาก่อน ทำได้โดยโรยเกลือลงไปคลุกเคล้ากับแตงกวาแล้วทิ้งไว้ 5-10 นาที ให้น้ำในแตงกวาออกมา บีบเบาๆ รินน้ำส่วนเกินทิ้งไป จากนั้นจึงใส่น้ำยำลงไป ใครขยันจะทำแบบนี้ก็ได้

สำหรับน้ำมันพริกนั้น มีขายสำเร็จรูปเป็นกระปุก ฉันได้มาจากเสฉวน ส่วนใครที่ไม่มีทำเอาเองก็ได้ไม่ยากค่ะ ส่วนผสมหลักก็คือ น้ำมัน และพริกแห้งป่นหยาบ ถ้าอยากให้สีแดงสวยก็ใช้พริกป่นเสฉวนหรือพริกเกาหลี เราสามารถเพิ่มเครื่องเทศที่ให้ความหอม ได้แก่ ฮวาเจียวหรือพริกเสฉวน จันทร์แปดกลีบหรือโป๊ยกั้ก อบเชย ขิง และใบกระวาน เป็นต้น อันนี้แล้วแต่ความชอบค่ะ

ขั้นตอนการทำน้ำมันพริก คือ นำพริกป่นและเครื่องเทศที่เตรียมไว้ใส่ถ้วยกระเบื้องหรือแก้วที่ทนความร้อน จากนั้นตั้งกระทะหรือหม้อใบเล็ก ใส่น้ำมันลงไปอุ่นจนน้ำมันร้อนจัด แต่อย่าให้ร้อนเกินไปจนเกิดควัน เทน้ำมันร้อนๆ นั้นลงในถ้วยเครื่องเทศ คนให้เข้ากัน ทิ้งเอาไว้ให้เย็นก็ใส่ขวดโหลเก็บไว้ใช้ทำกับข้าวได้หลายอย่าง

ฉันหวังว่า ยำแตงกวาจานนี้ จะช่วยให้คุณดับร้อนได้บ้าง

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

ผู้เขียน : นันทนา ปรมานุศิษฏ์

44

“เห่าดง(ดิบ)” ร้อนแรงแห่งกะเพราราชบุรี

กับข้าวหรือกับแกล้มบางอย่างมีจุดเด่นให้จดจำได้ไม่ลืมเลือน อาจด้วยสีสัน รสชาติ หรือคำเรียกขานอันชวนฉงน หนึ่งในบรรดาเหล่านั้นก็คือ “เห่าดง”

ผมรู้จักเห่าดงครั้งแรกที่ร้านรวงเล็กๆ ในตรอกซอยริมถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพฯ เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว เมื่อเจ้าของโต๊ะเอ่ยถามว่า นี่เราจะกิน “เห่าดง” กันไหม หลายคนทำหน้าผะอืดผะอม ก่อนที่ความเข้าใจผิดจะถูกไขให้กระจ่าง หลังจานเห่าดงถูกยกมาถึง

เห่าดงจานแรกที่ผมรู้จักนี้ เป็นเนื้อวัวหั่นชิ้นบาง ลวกพอสุก ราดน้ำปรุงรสจัดที่มีน้ำปลา น้ำมะนาว พริกแห้งป่นผสมมาแบบชุ่มๆ เคียงข้างขอบจานด้วยผักสดกรอบล้างสะอาดสะอ้านสามอย่าง ได้แก่ผักกาดขาว คื่นช่าย และใบกะเพราสด

ดูแล้วก็เหมือนยำเนื้อแบบหนึ่งเท่านั้นเอง ทำไมใครช่างตั้งชื่อเสียจนนึกว่าจะได้กินเนื้องูเห่าดิบๆ คาวๆ ไปก็ไม่รู้ได้

ความจำไม่ลืมของผมในคืนนั้นเลยติดอยู่กับสูตรเห่าดงสูตรนั้นจนบัดนี้ แม้จะรู้ในภายหลังว่าเห่าดงของร้านอื่นๆ ก็มีสูตรอร่อยต่างออกไป แต่ความประทับใจในรสชาติที่ผสานกันเหมาะเจาะของเนื้อยำแซ่บๆ และผักสามอย่างนั้นก็ยังไม่มีอะไรมาทดแทนได้

พอดีผมเพิ่งไปได้กะเพราใบเล็ก กลิ่นฉุนร้อนจัดถึงระดับเกรดเอบวก จากตลาดเย็นวันพุธหน้าเขางู อำเภอเมืองราชบุรี พี่คนขายบอกว่า เขาไปเก็บจากที่มันขึ้นเองตามธรรมชาติ ในทุ่งร้างข้างวัดทุ่งน้อยมาขาย ราคากำละ 5 บาทเท่านั้นเอง

ใบกะเพราราชบุรีนี้ นับเป็นหนึ่งในระดับสุดยอดความฉุนร้อน ร่วมตำแหน่งกับกะเพราแก่งกระจาน เพชรบุรี, บ่อพลอย ห้วยกระเจา กาญจนบุรี เลยไปถึงด่านช้าง สุพรรณบุรีครับ หลังจากแบ่งไว้ผัดเผ็ดๆ กินกับข้าวสวยแล้ว ผมอยากทำเห่าดงกินรำลึกความหลังสักจานหนึ่ง

ทีนี้ ก็ต้องหาผักกาดขาวและคื่นช่ายมาล้างให้สะอาด เด็ดหั่นเตรียมไว้เคียงกับใบกะเพรา

หั่นเนื้อสันวัวเป็นชิ้นบางๆ ไม่ต้องใหญ่มาก เอาใส่ชาม โรยเกลือป่นและน้ำมะนาว ขยำคั้นเค้นสักครู่ จนเห็นว่าเกลือและมะนาวกัดเนื้อจนสุกเป็นสีชมพูสวยดีแล้ว ก็คั้นให้แห้ง ใส่ชามรอไว้

ปรุงน้ำราด คือน้ำมะนาว น้ำปลา และพริกขี้หนูป่น ให้ออกเผ็ดเปรี้ยวเค็มตามลำดับ น้ำตาลอย่าไปใส่เลยครับ ไหนๆ จานนี้จะกินเห่าดง(ดิบ)กันแล้ว เราเอาความหวานจากเนื้อวัวดีๆ ก็เห็นจะพอ

ราดน้ำปรุงรสจี๊ดนี้บนจานเนื้อวัว เคียงข้างจานด้วยผักกาดขาว คื่นช่าย และใบกะเพราฉุนร้อนสุดๆ ในตำนานนั้น เพียงเท่านี้ ก็สำเร็จเป็น “เห่าดง” สูตรที่ผมคิดว่าทำง่ายมาก แล้วก็ผสมผสานรสชาติของน้ำปรุง เนื้อ และผักที่มีรสหวาน กรอบหอม และร้อนแรงถ่วงดุลกันไว้อย่างเหมาะเจาะจริงๆ

ยิ่งจานนี้แปลงมาใช้เนื้อคั้นสดอีก ย่อมจะสาแก่ใจยิ่งกว่าเนื้อลวกของสูตรเดิมแน่ๆ

ทั้งหมดนี้ คิดปรุงขึ้นมาเพื่อรองรับวัตถุดิบ คือใบกะเพราฉุนเกรดเอบวกจากราชบุรี ได้กับข้าวกับแกล้มอร่อยๆ รสแสบแซ่บมาหนึ่งจาน

จัดเต็มแบบไม่เกรงใจใครเลยแหละจานนี้ ใครกินรสจัดจ้านมากๆ ไม่ได้ ลองลดปริมาณเครื่องปรุงลงตามส่วนนะครับผม และแน่นอนว่า เราสามารถเปลี่ยนวัตถุดิบหลัก จากเนื้อคั้นสดแบบนี้ เป็นเนื้อย่างน้ำตก เป็นเนื้อหมูลวก เป็นกุ้งสด กุ้งลวก เนื้อปลา หรือกระทั่งเห็ดสดรสอร่อยๆ ปิ้งไฟพอหอม ได้ทั้งนั้นครับ

สาระสำคัญมันอยู่ที่กลิ่นและรสจัดจ้าน ผนวกกับความกรอบสดชื่นสลับหอมฉุนรุนแรงของผักสดๆ ที่เราเจาะจงเลือกมากินแนมนั่นเองครับ

ที่มาเสาร์ประชาชื่น, มติชนรายวัน 22 สิงหาคม 2563
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

ผมเพิ่งไปเที่ยวงาน “เห็ดตับเต่างามที่สามเรือน” จังหวัดพระนครศรีอยุธยามาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่กลางทุ่งบางปะอิน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น “บ้านของเห็ดตับเต่า” ได้อย่างสมภาคภูมินี้ เต็มไปด้วยดงโสนรอบหมู่บ้าน เพราะการงอกของเห็ดตับเต่าสัมพันธ์กับรากของต้นโสน ไม่ใช่เถาย่านางอย่างในเพลงของไพบูลย์ บุตรขัน นะครับ เห็ดหน้าตาแปลกนี้สร้างรายได้งามแก่ชาวบ้านสามเรือนในทุกช่วงฤดูฝนมานานกว่าสี่สิบปี

ทุกปี อบต.ที่นี่จะจัดงานใหญ่ในราวเดือนมิถุนายน แต่ปีนี้มีวิกฤตโควิด-19 ทางจังหวัดเข้ามาเป็นแม่งานจัดกิจกรรมขนาดย่อมแทน มีงานออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์เห็ดหลายอย่าง ผมซื้อมาทั้งเห็ดตับเต่าสดๆ ทั้งอบแห้ง ดองน้ำเกลือ และที่ปรุงเป็นน้ำพริก อันเป็นการร่วมแนะนำวิธีแปรรูปเห็ดจากการวิจัยของนักวิชาการมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ

ใครไม่เคยมาเที่ยวที่นี่ ให้ลองมาหน้าเห็ดออก คือระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม จะเห็นภาพ และเข้าใจเกษตรพื้นบ้านในหลายมิติทีเดียว แถมเดี๋ยวนี้เขามีเชื้อเห็ดตับเต่าพร้อมเมล็ดโสนให้ซื้อไปเพาะเชื้อไว้กินเองในบ้านเราเลยนะครับ

อย่างไรก็ดี ปัญหาของ “เห็ดตับเต่า” (King bolete mushroom) ก็คือยังมีคนไทยกินเป็นไม่มากนัก คนเหนือมักอ่อมกินขลุกขลิกกับพริกแกงตำ คนสวนภาคกลางยำใส่หางกะทิบ้าง ฉู่ฉี่บ้าง คนอีสานอาจต้มซดน้ำใสๆ ผมเคยลองถามเพื่อนๆ ก็ไม่ค่อยมีใครนึกสูตรอื่นๆ ออก คือไม่รู้จะเอามาทำอะไรแซ่บๆ กินนั่นเอง

จะว่าไป นี่คือปัญหาใหญ่ของวงการพืชอาหารท้องถิ่นบ้านเราจริงๆ ครับ คนวงในเขาบ่นกันมาอย่างนั้น

ผมก็เลยลองแผลงสูตรเห็ดตับเต่าหม้อนี้ขึ้นมา กินแล้วก็รู้สึกว่า ใครที่มีทักษะการกินกับข้าวท้องถิ่นมาบ้าง ต้องกินได้กินดีแน่ๆ เลย

“อ่อมปูปลาร้าเห็ดตับเต่า” ของผมใช้เห็ดตับเต่าสด เกลาดินออกบ้าง เอาฟองน้ำถูๆ หน่อย พอให้สะอาด ไม่ต้องให้เกลี้ยงมาก เพราะกลิ่นหอมดินของเห็ดนี้แหละคือเสน่ห์ของมันล่ะครับ หั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ ไว้

ไอเดียของผมอยู่ที่ว่า ถ้าเรา หรือกระทั่งคนในเมืองใหญ่ๆ สามารถกินส้มตำ “ปูปลาร้า” ได้อร่อย ทำไมถึงจะเอาทั้งปูดองและปลาร้ามาปรุงใส่ในอ่อมหน่อไม้ใบย่านาง แล้วเติมเห็ดตับเต่าเข้าไปเยอะๆ ไม่ได้เล่า?

ดังนั้น ของที่ต้องใช้คราวนี้ จึงจะมีน้ำคั้นใบย่านาง หน่อไม้ไผ่ตงต้มฝานบางๆ น้ำปลาร้า ปูแสมดองจืด (ถ้าใช้แบบดองเค็ม ก็ลดปลาร้าลงบ้าง) แกะแยกเป็นชิ้น เครื่องพริกตำมีพริกโพนสด หอมแดง ตะไคร้หั่นท่อน ตำรวมกันหยาบๆ ส่วนใบไม้หอมๆ เราใช้ต้นหอม ผักชีลาว ใบแมงลัก และเพื่อดึงรสหวานมาตัดกลิ่นหอมดินของเห็ดตับเต่า ผมเพิ่มเห็ดฟางเข้าไปด้วย

ทำง่ายๆ โดยตั้งหม้อน้ำคั้นใบย่านางบนเตาไฟ ใส่เครื่องพริกตำ หน่อไม้ เห็ดฟาง ปูดอง ปรุงด้วยน้ำปลาร้า เคี่ยวไปให้กลิ่นหอมของปูออกมาผสานกับกลิ่นน้ำปลาร้าจนรู้สึกได้ น้ำหวานๆ ในเห็ดฟางจะถูกรีดคั้นออกมาผสมให้อ่อมปูปลาร้ามีความนัวแบบที่คออาหารอีสานจะต้องกลืนน้ำลายเลยแหละ

ปรุงน้ำปลาร้าเพิ่มนะครับถ้ายังไม่เค็มพอ ทีนี้ก็ใส่เห็ดตับเต่าลงไปมากๆ ตามต้องการ เห็ดแก่จะดูดซับน้ำแกงจนชุ่มเนื้อ ส่วนเห็ดอ่อนจะเคี้ยวหนึบกรึบกรับดีเหลือเกิน ใครชอบแบบไหนเลือกใส่แบบนั้นครับ เพียงครู่เดียว เห็ดจะออกสีส้มๆ เหลืองๆ กลิ่นดินอ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์จะโชยขึ้นมา ก็ใส่ต้นหอม ผักชีลาว ใบแมงลักแยะๆ ตามลงไป

ผักสุกก็ยกลงกินได้ครับ ใครพิสมัยใหลหลงตำปูปลาร้าแบบอีสาน ต้องชอบกินแน่ๆ

IMG20200716112827

เอาเข้าจริง ผมคิดว่า “อ่อมปูปลาร้าเห็ดตับเต่า” หม้อนี้ เป็นหม้อทดลองสำหรับคนที่ยังไม่เคยกินเห็ดตับเต่าด้วยซ้ำ ค่าที่ว่า กลิ่นของเห็ดจะถูกช่วงชิงไปบ้าง ไม่โดดเด่นล้ำออกมาตรงๆ เหมือนสูตรที่คิดมาสำหรับมันโดยเฉพาะ

แต่ในเมื่อผู้ที่ช่วงชิงกลิ่นมันไป มีทั้งปูดองดีๆ น้ำปลาร้าหอมๆ ฉากนี้ก็เลยไม่ใช่การขโมยซีนแต่อย่างใดครับ หากเป็นการส่งเสริมกันของวัตถุดิบโอชารส เพื่อจะผุดเกิดรสชาติใหม่ในโลกของสำรับเห็ดตับเต่า ซึ่งต่อไปอาจถูกใจผู้คนอีกมากมาย

ในจำนวนนั้น มีผมรวมอยู่ด้วยคนหนึ่งแล้วล่ะครับ

ที่มา : มติชน

น้ำปลาพริก – หากจะมีกวีนิพนธ์ภาษาไทยที่ประพันธ์ยกย่องเครื่องปรุงรสเค็มอย่าง “น้ำปลา” ได้ซาบซึ้งตรึงใจที่สุด เห็นจะไม่มีบทไหนเกินกาพย์ยานีของพระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส (น.ม.ส.) บทนี้เป็นแน่

“น้ำปลาโอชารส  มาตรแม้นมดหมดเมืองมา
ลองลิ้มชิมน้ำปลา  จักดูดดื่มลืมน้ำตาลฯ”

ทุกวันนี้ น้ำปลาแทบจะกลายเป็นเครื่องปรุงรสเค็มที่จำเป็นที่สุดสำหรับครัวไทย นอกจากแทรกเป็นยาดำในสำรับภาคกลางเกือบทั้งหมดแล้ว ที่ขาดไม่ได้ในแทบทุกวงข้าว ก็คือ “น้ำปลาพริก” นะครับ ถึงขนาดมีคนเคยพูดทีเล่นทีจริงว่า เอกลักษณ์อาหารไทยก็คือน้ำปลาพริกนี่เองแหละ

แต่พูดไปทำไมมี เราๆ ท่านๆ ได้กินน้ำปลาพริกที่คิดว่าอร่อย กลิ่นหอม รสดี สีสวย เมื่อเหยาะจิ้มคลุกราดแล้วทำให้รสชาติกับข้าวกับปลาในสำรับอร่อยวิเศษขึ้นมาในบัดดลนั้น ฯลฯ ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กันล่ะครับ

ไม่ต้องตอบผมก็ได้ ผมแค่อยากบอกว่า น้ำปลาพริกถ้วยน้อยๆ ในวงข้าวนั้น ที่จริงก็เหมือนกับข้าวหลักจานอื่นๆ นะครับ คือสามารถจะมีรสมีกลิ่นที่แตกต่างออกไปตามความชอบของใครของมันได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น คำถามที่ว่า น้ำปลาพริกอร่อยๆ ทำยังไง จึงตอบยากที่สุด เพราะใครจะไปหยั่งรู้รสอร่อยของคนอื่นได้ มันเป็นสิ่งที่คนถามต้องค้นหาด้วยตัวของเขาเอง

แต่ถ้าคิดว่าเรื่องแบบนี้ แนะนำกันได้ ชักชวนให้ทดลองกันได้ ผมก็อยากจะลองชวนคิด ชวนค้นหา ชวนทำ “น้ำปลาพริก” ถ้วยโปรดของเรากันดูสักครั้ง

เริ่มด้วยการเสาะหาน้ำปลาที่เราชอบก่อนครับ โดยบทเรียนแรกๆ ก็คือ ต้องรู้ว่าน้ำปลาแต่ละขวดมีรสมีกลิ่นไม่เหมือนกัน บ้างก็หวาน บ้างมีกลิ่นสังเคราะห์ อุดมด้วยเกลือปรุงรสอย่าง MSG ผสมจนนัว วิธีเลือกก็คืออ่านฉลาก ว่าน้ำปลายี่ห้อนั้นๆ เขาใส่อะไรบ้าง ถ้าเราชอบ และยอมรับได้ ก็เลือกเอามาใช้

ขึ้นชื่อว่าน้ำปลาพริก ย่อมอร่อยจัดจ้านด้วยกลิ่นและรสพริกสดๆ ทีนี้เราชอบพริกแบบไหนล่ะ พริกขี้หนูสวนเม็ดเล็กหอมขึ้นจมูก แต่ไม่เผ็ดมากจนกลบรสอื่นๆ พริกขี้หนูแดงเม็ดยาวเผ็ดแสบปากแต่ไม่หอม หรือพริกโพนอีสานเผ็ดวูบวาบหายเร็ว ฯลฯ

ไหนจะรสเปรี้ยวที่ตัดเค็มตัดเผ็ด ปกติครัวไทยภาคกลางใช้น้ำมะนาว แต่ถ้าเรามีส้มจี๊ด ส้มซ่า มะกรูด ก็อาจเอามาบีบผสมให้กลิ่นหอมแปลกต่างออกไปได้ครับ

น้ำตาลก็สำคัญ สำหรับคนชอบน้ำปลาพริกสี่รส คือเค็มหวานเผ็ดเปรี้ยว แต่เดี๋ยวนี้เขามีน้ำปลาที่ปรุงผสมน้ำตาลในสัดส่วนมากๆ อยู่แล้ว อาจเลือกใช้แบบนั้นไปเลย อ่านฉลากดูเอาก็แล้วกัน

แล้วน้ำปลาพริกถ้วยเด็ดๆ บางทีจะมีของปรุงกลิ่นหอมเพิ่มด้วย เช่น หอมแดงซอย กระเทียมทุบสับหยาบๆ หรือแมลงดานา ถ้าใครชอบ ก็หามาเตรียมไว้เลยครับ

ผมเล่าเกริ่นมาเสียยืดยาว ทีนี้ก็จะลองทำ “น้ำปลา(พริก)โอชารส” แบบของผมอวดให้ดูสักถ้วยหนึ่ง ใครอยากทำแบบไหน ก็ปรับวัตถุดิบ วิธีการเอานะครับ

ผมได้พริกกะเหรี่ยงสดมาจากพุบอน อำเภอบ้านไร่ อุทัยธานี เผ็ดหอมมากๆ แต่ส่วนใหญ่เป็นพริกเขียว ดังนั้นผมหาพริกขี้หนูสวนสีแดงสดจากสวนเก่าในเขตตำบลไทรม้า นนทบุรี มาเพิ่ม เพื่อแต่งสีให้สวย หั่นซอยพริกเขียวพริกแดงให้บางที่สุดไว้

น้ำปลาปลาสร้อยเด็ดดวงจากบ้านกง อำเภอกงไกรลาศ สุโขทัย เป็นน้ำปลาดิบที่ผมใช้เสมอเมื่อจะทำน้ำปลาพริก เพราะไม่ทำให้พริกสดสีดำคล้ำเร็วเหมือนน้ำปลาอื่นๆ

รสเปรี้ยวผมใช้น้ำมะนาวและน้ำส้มจี๊ด เลยทั้งเปรี้ยวจี๊ดและหอมสดชื่น

ผสมทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันในถ้วยใบน้อย ใส่พริกมากๆ เลยครับ รสและกลิ่นเผ็ดเค็มหอมเจือเปรี้ยวจะยั่วน้ำลายสุดสุด

ผมควรต้องบอกว่า จำเป็นมาก ที่พริกขี้หนูสวนที่เราใช้ต้องสดใหม่ เนื้อยังแน่น และมีดที่หั่นก็ต้องลับให้คบกริบ มีน้ำหนักพอดีมือ เพื่อจะหั่นซอยพริกได้บางที่สุดเท่าที่จะทำได้

น้ำปลาพริกดีๆ แบบนี้ แค่กินกับปลาทอด กุ้งทะเลคั่วเกลือ ไข่ต้ม มะเขือยาวเผา ฯลฯ ก็เพียงพอแล้วล่ะครับ

บางที นี่อาจทำให้เราหันมาให้ความสำคัญกับของพื้นๆ ที่เอาเข้าจริงก็หากินดีๆ ยากในปัจจุบันนี้ได้บ้างครับ

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย