ซาลาเปาอันละห้าสิบตังค์  เติมพลังให้เราซะทีเถอะน่า

มาเร็วไวให้รีบอย่ามัวช้า     มาเถิดเรามา..มากินซาลาเปากัน

เป็นเพลงที่ร้องกันเล่นๆ สมัยเป็นเด็กชั้นประถม ซึ่งตอนนั้น “ซาลาเปา” เป็นของชอบกินของเด็กๆ มากที่สุดชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นไส้คาว หรือไส้หวาน หรือไส้ครีม

ประวัติความเป็นมาของซาลาเปา อย่างที่รู้กันว่าเป็นอาหารเช้าของชาวจีน ทำมาจากแป้งสาลีและยีสต์ ผ่านขบวนการนึ่งร้อนๆ ออกมาเป็นแป้งนุ่มนิ่มกินได้กินดี  การเกิดขึ้นของซาลาเปาเชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ้อง (ค.ศ.960-1279) ต้นกำเนิดของซาลาเปามาจากก้อนแป้งนึ่งที่เรียกว่า “หม่านโถว”  นานเข้าก็แผลงเป็น “หมั่นโถว” และมีการทำสืบทอดกันมาจนแพร่หลาย โดยเฉพาะทางภาคเหนือของจีน ซึ่งตอนนั้นเป็นเพียงแป้งนึ่งแบบไม่มีไส้ ต่อมาได้กลายมาเป็นอาหารที่ชาวจีนทางภาคเหนือนิยมรับประทานเป็นอาหารเช้าหรืออาหารว่าง  โดยการเพิ่มไส้เข้าไปด้วยเป็นเนื้อหรือผัก

ต่อมาได้แพร่จากจีนไปสู่ตุรกี เปอร์เซีย เอเชียกลาง เกาหลี และญี่ปุ่น หมั่นโถวมีรูปร่างลักษณะและรสชาติคล้ายซาลาเปา  ต่างกันที่ซาลาเปาเป็นแป้งสาลีนึ่งทรงกลม ๆ ทำไส้สอดไว้ข้างใน ส่วนหมั่นโถวอาจทำแบบมีไส้หรือไม่มีไส้ก็ได้  ซาลาเปามักจับเป็นรูปจีบด้านบน ส่วนหมั่นโถวทำผิวด้านบนให้เรียบและเนียนคล้ายกับผิวหน้าของคน  โดยเหตุที่ซาลาเปาต้องมีไส้เสมอ ในสมัยหลัง ๆ หมั่นโถวจึงมักทำเป็นแบบไม่มีไส้เพื่อให้ต่างออกไป  หมั่นโถวที่ทำขายในประเทศไทยก็ล้วนแต่เป็นแบบไม่มีไส้  คนฟิลิปปินส์ก็นิยมรับประทานซาลาเปาเช่นเดียวกัน โดยเรียกว่า “ซัวเปา”

ชาวจีนทางภาคเหนือนิยมเรียกแป้งมีไส้แบบนี้ว่า “เปาจึ” หรือ “ซาลาเปา”  ส่วนที่นิยมนำมารับประทานได้แก่ “ซาลาเปาไส้หมู” และ “ซาลาเปาไส้ครีม” ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในชุดอาหารติ่มซำในวัฒนธรรมจีน  ซาลาเปาสามารถนำมารับประทานได้ในทุกมื้ออาหาร แต่นิยมมากในมื้ออาหารเช้า  ส่วน “จุดสีแดง” ที่อยู่บนแป้งซาลาเปานั้น เพราะคนจีนเชื่อว่าสีขาวล้วนซึ่งเป็นสีของแป้งซาลาเปาไม่เป็นมงคล เพราะสีขาวล้วนเป็นสีของการไว้ทุกข์ ดังนั้น จึงมีการแต้มจุดสีแดงซึ่งเป็นสีของความมงคลตามความเชื่อของคนจีนลงไปบนลูกซาลาเปา  ปัจจุบันจะเห็นว่ามีการนำซาลาเปามาดัดแปลงให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไส้ใหม่ๆ รวมถึงรูปลักษณ์ที่ถูกปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ดังนั้น เรื่องของซาลาเปา นอกจากเป็นอาหารเช้าหรืออาหารว่างแสนอร่อยแล้ว ยังเป็นของมงคลที่สามารถเสริมเพิ่มเติมรายได้สร้างอาชีพให้กับคนทั่วไปได้เช่นกัน

อีกประเด็นหนึ่งเรามักได้ยินคำว่า “เสี่ยวหลงเปา” ซึ่งก็เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งตามร้านอาหารจีนเช่นเดียวกัน คราวนี้มาดูว่า “ซาลาเปา” และ “เสี่ยวหลงเปา” ต่างกันอย่างไร เพราะจะว่าไปอาหารทั้งสองอย่างนี้ก็จัดอยู่ในประเภทใกล้เคียงกัน มีหน้าตาที่คล้ายๆ กัน แต่มีรายละเอียดต่างกันอยู่ โดย “เสี่ยวหลงเปา” ก็คือติ่มซำ เป็นอาหารเซี่ยงไฮ้ที่ฮิตมากในทางตอนใต้ของจีน ต่างกับซาลาเปาที่นิยมกินอยู่ทางตอนเหนือของจีน  เสี่ยวหลงเปาจะมีขนาดเล็กเสิร์ฟในเข่ง ข้างในของเสี่ยวหลงเปาจะมีน้ำซุปอยู่  แต่เดิมเสี่ยวหลงเปาจะเป็นซาลาเปาลูกใหญ่ มีน้ำซุปอยู่ข้างใน เสี่ยวหลงเปาทำจากแป้งขนมปัง ผสมแป้งสาลีอเนกประสงค์ ไม่ใส่ผงฟูหรือยีสต์ จับจีบให้ได้ 18 จีบ  ส่วนซาลาเปาจะลูกใหญ่กว่า ทำมาจากแป้งสาลีหมักยีสต์หรือผงฟู ปั้นเป็นลูกกลมแบน ข้างในจะใส่ไส้ หมูสับ หมูแดงครีม เป็นต้น

ทีนี้มาเข้าประเด็นกันว่าถ้ายามวิกฤตโควิด-19 เช่นที่เป็นอยู่นี้ นอกจากการสั่งอาหารที่เป็นข้าวกล่องหรือเดลิเวอรี่มารับประทานแล้ว ยังมีซาลาเปา เสี่ยวหลงเปา พวกนี้ด้วย เมื่อต้องรับประทานจะมีคุณค่าทางโภชนาการ หรือเกิดประโยชน์ต่อร่างกายหรือไม่ อย่างไร?  เริ่มตั้งแต่วิธีการทำเริ่มต้นในการทำซาลาเปาและเสี่ยวหลงเปา จะเป็นการปรุงให้สุกด้วย “วิธีนึ่ง” ซึ่งวิธีนึ่งนั้นเป็นการใช้ไอน้ำทำให้อาหารสุก ทั้งนี้ อาหารจะไม่มีการสัมผัสโดยตรงกับน้ำที่ต้ม ซึ่งจะส่งผลให้คุณค่าของสารอาหารยังคงอยู่กับอาหารอย่างครบถ้วน  และที่สำคัญในการนึ่งนั้นแทบจะไม่ต้องเติมน้ำมันลงไปในการนึ่งเลย จึงเป็นวิธีการปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก  แต่เคล็ดลับที่สำคัญสำหรับการนึ่งอาหารให้รสชาติดีนั้น วัตถุดิบที่ใช้จะต้องสดมากๆ การนึ่งอาหารจะต้องใส่น้ำต้มให้เดือด และนำอาหารที่ต้องการนึ่งวางบนจานทนความร้อนและใส่เข้าไปในซึ้งจากนั้นปิดฝาให้สนิท

เมื่อนึ่งสุกแล้ว ซาลาเปาแต่ละชนิดก็มีคุณค่าแตกต่างกัน อาทิ ซาลาเปาไส้หมูสับและไส้หมูแดง เป็นไส้ที่มีส่วนผสมของหอม กระเทียม และพริกไทยดำ ถือเป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุนเแต่ก็มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น กระเทียมช่วยทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี ช่วยลดคลอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งถ้าใครที่รับประทานกระเทียมบ่อยๆ จะช่วยไม่ให้เส้นเลือดอุดตันได้ ส่วนซาลาเปาไส้ครีม เป็นไส้ที่มีส่วนผสมหลากหลาย แต่ก็มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งนมข้น นมจืด นมผง เนยเค็ม เนยจืด และไข่ไก่สด ฯลฯ ซึ่งมีสารอาหารบำรุงร่างกายได้แก่ วิตามิน A วิตามิน D วิตามิน B1 วิตามิน B2 วิตามิน B6 วิตามิน B12 แร่ธาตุแคลเซียม แร่ธาตุฟอสฟอรัส แร่ธาตุโพแทสเซียม แร่ธาตุเหล็ก แร่ธาตุไอโอดีน แร่ธาตุโซเดียม แร่ธาตุแมกนีเซียม แร่ธาตุกำมะถัน เป็นต้น  

ซาลาเปาไส้สังขยาใบเตย  คุณค่าก็มีตั้งแต่ใบเตยสด มีน้ำมันหอมระเหย รสหวาน กลิ่นหอม และมีสีเขียวซึ่งเป็นสารคลอโรฟีลล์ ช่วยลดอาการกระหายน้ำ บำรุงหัวใจ และช่วยทำให้สดชื่น อีกทั้งมีเกลือแร่ แคลเซียม และฟอสฟอรัส  ซาลาเปาไส้ถั่วดำ ก็มีแร่ธาตุอาหารสำคัญในทางบำรุงเลือด ขับสารพิษ ขับปัสสาวะ ทำให้เลือดลมไหลเวียนสะดวก และนอกจากนี้คุณสมบัติที่โดดเด่นของถั่วดำ คือ ช่วยบำรุงผมให้ดกดำ แข็งแรง และไม่หลุดร่วงง่าย  ซาลาเปาไส้เผือก เป็นซาลาเปาที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ เผือกเป็นผักที่จัดอยู่ในอาหารหมู่ที่ 1 นั่นคือแป้ง แต่ไม่ได้หมายความว่าในเผือกมีแต่คาร์โบไฮเดรตอย่างเดียว ยังมีวิตามินต่างๆ มากมาย และยังมีโปรตีน แร่ธาตุ รวมไปถึงธาตุฟลูออไรด์ ที่ช่วยเพิ่มพละกำลัง บำรุงสุขภาพ นอกจากนี้เผือกยังมีคุณสมบัติพิเศษอีกอย่างคือ ช่วยป้องกันฟันผุได้

ยังมีซาลาเปาไส้ผักรวม ซึ่งแต่ละเจ้าที่ขายอาจจะใช้ผักแตกต่างกัน อย่่างไรก็ตามถือว่าผักนั้นมีประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นประกอบด้วย ถั่วพู ที่มีสารอาหารที่ให้พลังงานสูงรวมถึงพวกวิตามินเอ  ซี และ อี แครอท เป็นผักที่มีวิตามินเอ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ลดความดันเลือด และยังทำให้อายุยืน นอกจากนี้ยังช่วยรักษาอาการตาพร่า ตาฟาง ให้กลับสว่างสดใสด้วย  เห็ด มีค่ากรดอะมิโนที่สามารถลดอัตราการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ ทั้งยังช่วยล้างพิษที่สะสมในตับที่เกิดจากอาหารและสารพิษจากสุรา สารตกค้างในเนื้อสัตว์ สารเคมีจากเครื่องสำอาง และพิษจากสารอนุมูลอิสระ

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว การจะหาของรับประทานในยามที่ต้องกักตัวในบ้าน ไม่สามารถออกเดินทางไปหาซื้อข้าวของได้เช่นในเวลานี้ ซาลาเปา เสี่ยวหลงเปา รวมถึงหมั่นโถว นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของชีวิตที่ทำให้ไม่เบื่อ ที่สำคัญต้องเลือกเจ้าที่สะอาดและแพ็กเกจจิ้งที่ดีด้วย

เพื่อเป็นการรำลึกถึงครั้งสุดท้าย “คุณชาย-ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์” เทพแห่งการบริโภคที่ได้จากลาไป  ด้วยความเคารพรักและอาลัยยิ่ง “มติชนอคาเดมี” ได้รวบรวมความอร่อยที่กระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ ทั้ง 4 ภาคของประเทศไทย เป็นเสมือนคู่มือผู้นิยมบริโภคของดี ทั้งหลาย ซึ่งคุณชายถนัดศรีได้ “ชวนชิม” ไว้ ให้เป็นลายแทงสำหรับนักล่าความอร่อย เป็นที่ไหน อย่างไร ต้องติดตาม…

ภาพจาก : มติชนสุดสัปดาห์

1.ร้าน “ภูไทไก่ย่าง” จ.เชียงราย

ห่างจากสนามบินเชียงราย 2 กิโลเมตร ทางจะไป อ.แม่จัน ร้านอยู่ริมถนนซ้ายมือ (โทร 053-793-080) เจ้าของคือ “มาลินี        โคตระวีระ” ชาวผู้ไท อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร

ทำกิจการร้านอาหารมานานหลายปี มีช่วงหนึ่งที่หยุดพัก ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศกับลูก  หลังจากนั้น ได้เข้ามาเปิดร้านในกรุงเทพฯ และที่ จ.สมุทรปราการ โดย “หนึ่ง-ปรัชญา โคตระวีระ” ลูกชายเป็นผู้บริหารงาน ใช้ชื่อร้านว่า “มา เด้อ หล่า by ภูไทไก่ย่าง1971”  มีทั้งหมด 5 สาขา ได้แก่ สาขามาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ ชั้น 2 (โทร. 0-2002-3039) สาขา Food Patio เซ็นทรัลบางนา สาขาอาคาร G Tower พระราม 9 ชั้น B (โทร. 0-2118-2642) สาขาสนามไดรฟ์กอล์ฟวินด์มิลล์ ถ.กิ่งแก้ว (โทร. 0-2061-1665) และสาขา Icon Siam ชั้น G โซนภาคอีสาน (โทร. 0-2005-5850)

ของอร่อยเมนูแนะนำ  มีหลายอย่าง ได้แก่ ไก่ย่างหอมหวนชวนกิน, แกงอ่อมไซแตก, ปลาส้มปลาตะเพียนทอด เสิร์ฟพร้อมสมุนไพร, ส้มตำสารพัดอย่าง เช่น ตำไทย ตำลาว ตำปู ตำปูปลาร้า ตำหลวงพระบาง ตำกุ้งสดไข่แดงเค็ม ตำหอยแครง, แกงคั่วหอยขม, แกงเห็ดเผาะไข่มดแดง และ ปีกไก่สวรรค์เสิร์ฟพร้อมแจ่วบอง

2.ร้าน “น้องเบียร์” เมืองปาย จ.แม่ฮ่องสอน

จากตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ตรงเข้าอำเภอปาย ต.เวียงใต้  ใช้ถนนชัยสงคราม  เป็นร้านอาหารเรือนไม้สองชั้น ตั้งอยู่ใจกลางเมืองปาย แถวสี่แยกปายหนาว  จ.แม่ฮ่องสอน เจ้าของร้านชื่อ “มาลี สุนันตา” มีลูกสาวชื่อ “น้องเบียร์” เพราะพ่อชอบดื่มเบียร์ เริ่มขายอาหารมาตั้งแต่ปี 2484 โดยคุณยายเริ่มต้นก่อนขายกับข้าวคนเมือง แล้วถ่ายทอดให้ลูกสาวทำต่อมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อฝรั่งมาเที่ยวปายมากขึ้น เจ้าของร้านจึงดัดแปลงรสชาติอาหารให้เข้ากับปากฝรั่งจนได้รับการแนะนำในหนังสือท่องเที่ยวของฝรั่ง

เมนูแนะนำ เริ่มด้วยหมูสะเต๊ะ ปิ้งใหม่ๆ หอมยั่วน้ำลาย ตามด้วยข้าวซอย มีทั้งข้าวซอยเนื้อ ข้าวซอยไก่ และหากจะกินเป็นกับข้าว มีแกงฮังเล หน่อไม้ผัดหมู ต้มข่าไก่ แกงเขียวหวานไก่ รสมือดีสั่งได้ตามใจชอบ (โทร 053-699-103)

ภาพจาก : eataroi.com
ภาพจาก : th.tripadvisor.com

3.ร้าน “เลมอน ทรี” จ.เชียงใหม่

เริ่มต้นเปิดร้านขายในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่  พ่อครัวเอกชื่อ “อานนท์ จันทระเปารยะ” หรือ “หนุ่ม”  เรียนจบด้านดนตรีจากมหาวิทยาลัยพายัพ แล้วไปเรียนต่อที่เมล์เบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ช่วงเรียนที่เมลเบิร์นได้ทำงานพิเศษในร้านอาหารไทย จึงได้วิชาการทำอาหารแถมกลับมาด้วย  รสมือในการทำอาหารถือว่ายอดเยี่ยม โดยเฉพาะผัดวุ้นเส้นของร้านถือว่าไม่ธรรมดา ไม่แฉะเต็มไปด้วยน้ำมัน แต่ผัดค่อนข้างแห้ง เส้นนุ่มกำลังดี ไม่เหนียวหรือแข็งกระด้าง  ใส่หมูสับ ไก่ ไข่เค็มเอาแต่ไข่แดงลงไปผัด อาหารจานนี้ลูกค้าทุกโต๊ะต้องสั่ง

สำหรับอาหารแนะนำ กบผัดเผ็ด  แกงคั่วหอยขม  ยำยอดตำลึง  ปลาแข้ลวกกับน้ำจิ้มอร่อยเด็ด  ยำผักบุ้งกรอบ  ฉู่ฉี่ปลาหมึก  ส่วนอาหารจานเดียว ก็มีข้าวหมูทอดญี่ปุ่น  ข้าวผัดแหนม  ของหวานมีไอศกรีมไขมันต่ำหลากรส และทีรามิซู  ปัจจุบันร้านเลมอน ทรี มี 2 สาขา  ที่ถนนห้วยแก้ว ตรงข้ามกับปั๊มน้ำมันเชลล์ ไม่ไกลจากกาดสวนแก้ว (โทร 053- 222-009)  และร้านบ้านสวนแม่ริม  ส่วนสาขาสวนสุขภาพปิดไปแล้ว

4.ร้านโควเจ็งเฮง จ.สุโขทัย

อยู่ในอำเภอเมืองสุโขทัย  “โควเจ็งเฮง” ได้รับใบประกาศนียบัตรจากเชลล์ชวนชิมตั้งแต่ปี 2519  สมัยก่อนเป็นรุ่นพ่อที่ทำอยู่ เดี๋ยวนี้กิจการตกทอดมาถึงลูกชายชื่อ “เค่งลัง โฆษิตฤทธิเดช” อาหารยังคงรสชาติอร่อยเหมือนสมัยที่พ่อทำ ซึ่งของอร่อยตั้งแต่รุ่นพ่อ คือ เป็ดพะโล้  ขาหมู นอกจากนี้ ยังมีอาหารตามสั่งอีกหลายอย่าง เช่น มะระผัดไข่  ต้มจืดมะระหมูสับ  สิ่งสำคัญนอกจากเป็ดพะโล้แล้ว “น้ำจิ้มเป็ด” ก็สำคัญพอๆ กัน เป็นน้ำจิ้มที่ทำจากน้ำส้ม พริกขี้หนู กระเทียม เข้ากันดีกับเป็ดเนื้อนุ่ม  ส่วนน้ำจิ้มขาหมูไม่เหมือนที่ไหน เขาทำเป็นน้ำจิ้มผสมข้นคล้าซอสศรีราชา อร่อยต่างจากแบบน้ำส้มพริกตำทั่วไป  ร้านอยู่ที่ถนนเลียบริมฝั่งแม่น้ำยม ชื่อ ถนนนิกรเกษม  หน้าร้านมีตู้กระจกแขวนเป็ดพะโล้ และมีกระเพาะปลาถุงใหญ่ตั้งอยู่ในตู้ด้วย เป็นร้านห้องแถวห้องเดียว ต้องไปชิมเป็ดพะโล้  ขาหมูพะโล้  และยำกระเพาะปลา  (โทร 055-621-347)

ภาพจาก : th.foursquare.com
ภาพจาก : facebook ร้านอาหาร สายชล

5.ร้านสายชล จ.พิษณุโลก

อยู่ปากทางเข้าสนามบินพิษณุโลก ติดใจรสชาติอาหารเอร็ดอร่อย ตั้งแต่ครั้งแรกที่นักบินในกองบิน 46 พาไปกิน เจ้าของร้านเป็นทหารอากาศ “พันจ่าอากาศเอกชล พันธุ์เมฆ” กับภรรยา “สมลักษณ์”  เดิมขายอยู่ในสโมสรกองบิน คนติดใจฝีมือเรียกร้องให้ออกไปขายนอกกองบิน จึงเปิดเป็นร้านอาหารชื่อ “สายชล”  เป็นตึกคูหาเดียว  อาศัยเป็นคนชอบทำอาหารประเภทแกล้มเหล้า และคุณแม่เคยขายข้าวแกงมาก่อน จึงได้รับการถ่ายทอดมาด้วย ถือเป็นร้านอาหารเหมือนทำกินในครอบครัว

อาหารอร่อยที่ขึ้นชื่อ คือ แซ่บแห้ง เป็นเครื่องในวัวที่ล้างสะอาดหมดจด ไม่มีกลิ่นคาว เอาไปเคี่ยวจนเปื่อยได้ที่แต่ละอย่าง จากนั้นตักขึ้นมาหั่นเป็นชิ้นพอคำ จิ้มน้ำจิ้มแบบแจ่วพริกแห้ง คนไม่กินเนื้อหมดสิทธิ์  หรือจะเป็น จานยำกบแบบโบราณ  ยำทั้งเนื้อทั้งหนัง รสจัดถึงใจ  ส่วนลาบหมู  ใส่หนังหมูหั่นบางๆ เคี้ยวกรุบๆ ดีจริง และยังมี ทอดมันปลากราย เป็นทอดมันแบบเดิมที่เหนียวหนึบหอมพริกแกง กบผัดเผ็ด น้ำพริกแกงโขลกเองไม่ใช้สำเร็จรูป  และต้มยำปลากด  (โทร 055-248-073)

6.สวนอาหารบ้านสร้าง อ.บางปะหัน จ.อยุธยา

เป็นของ “หัตถกร  พรหมสุวรรณ”  สวนอาหารบ้านสร้างแห่งเดิมอยู่ที่ถนนโรจนะ มาเปิดร้านใหม่อีกแห่งริมถนนสายเอเชีย เขต อ.บางปะหัน จึงใช้ชื่อว่า “สวนอาหารบ้านสร้าง” สาขาบางปะหัน อยู่ติดริมถนนใหญ่ มีป้ายใหญ่โตมองเห็นชัด  ถ้าไปจากรุงเทพไปตามทางมุ่งหน้าไปนครสวรรค์  คอยมองหลักกิโลเมตรไว้ให้ดี พอถึงกิโลเมตรที่ 90  คือทางแยกต่างระดับบางปะหัน อีกแป๊บเดียวก็ถึงร้าน

เมนูเด็ด ปลาซาบะอบกาแฟ เนื้อปลานุ่มหอมกลิ่นกาแฟจิ้มน้ำจิ้มเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ  ยำสามยอด-มียอดกระถิน ยอดมะพร้าวอ่อน และยำหัวปลี จัดมารวมในจานเดียว เป็นที่นิยมของลูกค้าอย่างมาก  แกงป่านกทอด  ไก่บ้านทรงเครื่อง  ยำปลาดุกกรอบ  อาหารชนิดใหม่ที่คิดสูตรขึ้นมาอีกอย่าง คือ ไส้กรอกซี่โครงอ่อน  นอกจากนี้ก็มี กุ้งแช่น้ำปลา ยำตะไคร้กรอบ ยำหูหมู  เป็ดย่างผัดขี้เมา เชิงปลากรายทอดกรอบ ร้านเปิดบริการทุกวัน (โทร 01-989-0936)

ภาพจาก : LINE TODAY
ภาพจาก : sanook.com

7.ร้าน “เรือนแพป้าสร้อย” อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี

ถ้าไปจากกรุงเทพฯ ไปตามถนนสาย 340 ตรงไปเรื่อย ผ่าน อ.เมืองสุพรรณบุรี ไปจนถึง อ.ศรีประจันต์  ให้สังเกตธนาคารกรุงเทพ ทางซ้ายมือ เลี้ยวเข้าไปทางที่จะไปที่ว่าการอำเภอศรีประจันต์ไปจอดรถแถวหน้าอำเภอ “เรือนแพป้าสร้อย” จะอยู่ริมแม่น้ำด้านขวามือ เจ้าของร้านเรียกขานกันว่า “ป้าสร้อย”  ชื่อจริง “สร้อยฟ้า สมใจวงษ์” 

อาหารจานเด็ด แนะนำ ทอดมันปลาปราย  ปลาดุกผัดเผ็ด  ห่อหมกปลาช่อน  แกงส้มแป๊ะซะปลาช่อน  ยำปลาดุกฟู  ปลาเนื้ออ่อนราดพริก  ต้มยำปลาตะโกก

จานเด็กอีกอย่าง หมี่กรอบ เป็นแบบโบราณ  และยังมี “แกงบวน”  ซึ่งเป็นแกงเครื่องในหมูแบบโบราณ หากินได้ยากเต็มที เพราะการทำมีขั้นตอนมากและต้องใช้เวลานานในการเตรียม ถ้าไม่รักกันจริงก็ไม่ทำให้กิน เรือนแพป้าสร้อย เปิดทุกวันไปถึงสี่ทุ่ม รับจัดเลี้ยงโต๊ะจีน และอาหารไทยนอกสถานที่ (โทร 035-581-113)

8.ตั้งยู่ฮวด จ.อุทัยธานี

เป็นร้านขายผลไม้แช่อิ่ม ผลไม้ดอง เป็นร้านที่เคยได้รับรางวัลในการประกวดของจังหวัด ตอนได้รางวัลเป็นร้านรุ่นพ่อ ตอนนี้ตกทอดมาถึงรุ่นลูก เป็นผู้ดูแลกิจการ ชื่อ “กัญชดา บุศยารัศมี”  เปิดร้านขายอยู่ในตัวเมืองอุทัยสองแห่ง แห่งแรกที่ถนนท่าช้าง ตรงข้ามธนาคารทหารไทย  อีกแห่งที่ถนนศรีอุทัย ใกล้กับธนาคารไทยพาณิชย์ (โทร 056-511-036)

ผลิตภัณฑ์ของตั้งยู่ฮวด มีหลายอย่าง จำพวกแช่อิ่ม มีมะม่วง กระท้อน มะกอก มะดัน มะขาม จำพวกของแห้ง มีมะม่วง กระท้อน มะกอก มะดัน มะขาม มะเฟือง มะยมหยี มะขามป้อม  มะเขือเทศ จำหน่ายเป็นขีดหรือเป็นกิโลกรัม ราคาแตกต่างไปตามชนิดของผลไม้  นอกจากนี้ ยังมีเห็ดโคนดอง หน่อไม้จากเขาสะแกกรังนำมาต้มบรรจุขวด  มะนาวดอง แตงไทยอ่อนดอง น้ำผึ้งป่าก็มีขาย  ถ้าไปถึงเมืองอุทัยแวะไปร้านนี้จะได้ของฝากมากมาย

ภาพจาก : painaidii.com
ภาพจาก : edtguide.com

9.มัดหมี่ ร้านอาหารลาวพวน จ.ลพบุรี

ที่ จ.ลพบุรี มีร้านอาหารลาวพวนแห่งหนึ่งชื่อ “ร้านมัดหมี่” อยู่ถนนพระศรีมโหสถ ต.ทะเลชุบศร อ.เมือง ลพบุรี  (โทร 036-420-951) และ (036-412-883)  เปิดขาย 10.00-22.00 น. ทุกวัน หยุดวันอาทิตย์  กับข้าวจานเด็ดของที่ร้าน คือ “ปลาร้าสับ”  ที่ใช้ปลาร้าปลากระดี่คัดตัวเท่าๆ กัน ลวกน้ำเดือด แล้วห่อใบตองปิ้งไฟจนสุก เอามาสับหยาบๆ แล้วเอากระชายหั่นฝอย ตะไคร้ซอย หอมแดงซอย ข่าสองแว่น ใบมะกรูด พริกขี้หนู สับรวมกับปลาร้าจนละเอียด เติมน้ำส้มมะขามเปียกสับเคล้าให้เข้ากัน ห้ามเติมมะนาว น้ำปลาเด็ดขาด  ปล่อยให้ปลาร้าเป็นพระเอก  ผักที่เข้ากันดีคือขมิ้นขาว มะเขือกรอบลูกเล็ก ถั่วพูหรือถ้าหาไม่ได้ ผักอื่นก็ได้แต่ต้องเป็นผักสด  ส่วนกับข้าวอื่นของทางร้านก็มี ปลาส้มทอด ไข่เค็ม ผัดพริกขิง เมี่ยงตะไคร้ ปลาช่อนมัดหมี่ แกงอ่อมไก่บ้านแบบพวน ส้มพวนใส่ปลาร้า แกงเขียวหวานปลากราย หมี่กรอบ แต่ที่แซ่บอีหลี คือปลาร้าสับ

10.ข้าวหลามเจ๊เล็ก หนองมน ชลบุรี

เคยไหมที่ไปถึงตลาดหนองมนแล้วยืนงง ไม่รู้จะเลือกซื้อข้าวหลามเจ้าไหนดีถึงอร่อย สดใหม่เชื่อถือได้ นี่เลย..คุณชายถนัดศรีแนะนำ “ข้าวหลามเจ๊เล็ก”  ข้าวหลามเจ้านี้อยู่ที่ตลาดหนองมน จ.ชลบุรี  จุดแวะพักของนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปภาคตะวันออก ไปถึงหนองมนทีไรข้าวหลามเจ้าอร่อยต้องถามหากันเสมอ ข้ามหลามเจ๊เล็กขายอยู่ตรงหัวมุมใกล้สะพานลอยคนข้าม หน้าตลาดหนองมน “เจ๊เล็ก”  ชื่อจริง “สุคนธ์ มาตรแม้น” นั่งขายข้ามหลามตรงนี้เป็นประจำ มีทั้งข้าวเหนียวขาว ข้าวเหนียวดำ เนื้อข้าวหลามนุ่มกำลังดี ไม่แห้งแข็งให้ระคายคอ ส่วนหน้าข้าวหลามปรุงรสกล่อมกล่อม กะทิมันๆ เค็มๆ กำลังดีอีกเช่นกัน เจ๊เล็กเตรียมข้าวหลามตั้งแต่ตีสี่ เผาด้วยฟืนสำเร็จเรียบร้อยจากที่บ้าน ออกมาขายหน้าตลาด ตั้งแต่แปดโมงเช้าไปเรื่อยๆ  ไม่เกิน      ห้าโมงเย็นหมดเกลี้ยง  นอกจากข้าวหลามยังมีขนมจากมัดละ 20 บาทด้วย

ภาพจาก : wongnai

ทั้ง 10 ร้านนี้ฝากไว้ หิวเมื่อไหร่ หรือผ่านไปที่ไหน ร้านใด แวะลองชิม ฝากไว้ให้ระลึกถึงคุณชายถนัดศรี

หากเอ่ยถึง “brainwake” แน่นอนว่าบรรดานักชิมทั้งหลายต้องนึกถึงร้านอาหารจานเดียว หรือ ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของทางร้าน แต่ใครจะรู้ว่าของกินขึ้นชื่ออีกอย่างของ brainwake เป็น “ขนมปัง” และ “เค้ก” ที่นักชิมทั้งหลายต้องยกนิ้วให้ โดยเฉพาะขนมปังนั้น ของเขาไม่ธรรมดาเพราะเป็นสูตรมาจากเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีให้เลือกซื้อหารับประทานมากมายหลายรูปแบบ เรียกว่าเป็น “ไฮไลท์” อีกอย่างหนึ่งของร้านก็ว่าได้

“ปุ้ม-สุรนันทน์ เวชชาชีวะ” เจ้าของร้านบอกว่าขนมปังของทางร้านที่วางขายทั้งหมดมาจากปลายนิ้วของเชฟ “คาซุมา ซาโตะ” เป็นสูตรที่เชฟนำมาจากเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งการนำเข้าวัตถุดิบด้วย “ขนมปังของร้าน brainwake รสชาติไม่เหมือนขนมปังของที่อื่นๆ ที่เคยกินมา จุดเด่นเป็นแป้งผสมพิเศษ เป็นแป้งมาจากโรงงานญี่ปุ่นในเมืองไทยช่วยผลิตให้เรา เชฟซาโตะทดลองจนได้ที่ เขาจะมีเคล็ดลับการผสมแป้ง การใส่แป้ง กรรมวิธีการนวดแป้ง ที่ทำให้ขนมปังนุ่มและรสชาติอร่อยแตกต่างจากที่อื่น รวมถึงใช้เนยอย่างดี เป็นเนยฝรั่งเศสทั้งหมด แต่ละสาขาจะเลือกวางชนิดของขนมปังที่แตกต่างกันไป บางสาขาลูกค้าชอบแบบนี้เราก็อาจปรับเปลี่ยน โดยดูจากยอดขายว่าลูกค้าชอบอะไรจากนั้นก็ขยายไลน์จากตรงนั้น”

เจ้าของร้านบอกอีกว่า ขนมปังที่เป็นพระเอกของร้าน ขายดี ป๊อปปูลาร์มาก คือ “อัลมอนด์ครัวซองต์”  มีทุกสาขา เป็นครัวซองต์ที่มีความกรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นของเนยบางๆ และเป็นขนมปังที่ขายหมดก่อนเป็นลำดับแรกในทุกวัน อีกตัวคือ “มัทฉะถั่วแดง” และ “ขนมปังทูน่า” ก็ขายดี ราคาเริ่มต้นที่ 45 บาท ยิ่งตั้งแต่เวลา 17.00 น.เป็นต้นไป ทางร้านจะลดราคา 50% จากราคาปกติ เพราะเป็นขนมปังที่ทำวันต่อวัน สด ใหม่เสมอ ใครไปช้าบางทีไม่มีเหลือให้ติดมือกลับบ้าน ปัจจุบันร้าน brainwake มีทั้งหมด 8 สาขา คือ สุขุมวิท 33, ทองหล่อ 19, อาคาร G Tower พระราม 9, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, สัมมากร, Show DC, โรงแรม shama ซอยนานา และที่ มติชนอคาเดมี ประชานิเวศน์ 1 ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-19.00 น. แวะชิม ช้อปได้ แบบสบายใจ เพราะเป็นขนมปังไร้สารกันบูด และไขมันทรานส์

ถึงแม้ปัญหาฝุ่นละอองจิ๋ว PM 2.5 เริ่มเบาบางลงแล้ว แต่อากาศในกรุงเทพฯ ก็ยังมีมลพิษให้สูดดมกันทุกวี่วัน แน่นอนว่าเราต่างได้รับผลกระทบนี้กันไปเต็มๆ แต่หนึ่งในวิธีที่จะดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดีได้ นั่นคือ การกินอาหารที่มีประโยชน์ช่วยเสริมภูมิร่างกายให้แข็งแรงเพื่อต้านฤทธิ์มลพิษที่กำลังครองเมือง มาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าอาหารที่ว่านี้มีอะไรบ้าง

1.ผักตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ บร็อกโคลี กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก คะน้า กวางตุ้ง ผักกาดขาว ล้วนอุดมด้วยสารอาหารและวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะสารชัลโฟราเฟนที่ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย จึงลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดจากฝุ่นพิษ และยังช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงด้วย

2.ผลไม้มากวิตามินซี นอกจากช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสในแบบที่สาวๆ ชอบแล้ว ผลไม้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เสริมภูมิร่างกายให้แข็งแรง และยังช่วยขับสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายที่อาจได้รับจากปัญหามลพิษ บรรเทาอาการภูมิแพ้และทำให้ปอดแข็งแรงขึ้น พบมากในผลไม้จำพวกฝรั่ง กีวี มะขามป้อม ส้มโอ มะละกอสุก มะนาว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ฯลฯ

3.ปลาและอาหารทะเล เป็นอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง ช่วยเสริมสร้างผนังเซลล์ในร่างกายจึงอาจมีส่วนช่วยดูแลสุขภาพจากผลกระทบของฝุ่นพิษได้ พบได้ในปลาทะเลและปลาน้ำจืดบางชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาทู ปลากะพงขาว ปลาดุก ปลาช่อน กุ้ง หอย รวมถึงน้ำมันปลา ซึ่งการกินปลาด้วยวิธีต้ม แกง หรือนึ่งจะได้ประโยชน์ที่สุดเพราะโอเมก้า 3 จะสูญสลายหากผ่านความร้อนสูงๆ เช่นการทอด

4.ผักผลไม้สีส้ม-เหลือง-แดง เต็มไปด้วยวิตามินเอและเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยเสริมระบบทางเดินหายใจและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง โดยเฉพาะเสริมประสิทธิภาพการทำงานของปอดให้ดีขึ้น พบมากในกลุ่มผักผลไม้ที่มีสีส้ม สีเหลือง และสีแดง เช่น ฟักทอง มะเขือเทศ แครอท มันเทศ มันหวาน มะละกอข้าวโพด รวมถึงผักใบเขียวเข้มอย่างผักบุ้งและตำลึงก็ช่วยต้านฤทธิ์ฝุ่นจิ๋วได้

5.ธัญพืชต่างๆ เช่น ถั่ว งา เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เม็ดแมงลัก เรื่อยไปถึงขนมปังโฮลวีต ซีเรียลชนิดโฮลเกรน ล้วนมีส่วนช่วยดูแลสุขภาพได้เช่นกันเพราะมีคุณค่าทางอาหารสูง บางชนิดนอกจากจะให้กรดโอเมก้า 3 เช่นเดียวกับเนื้อปลาแล้ว ยังมีวิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม ที่ช่วยชะลอการเสื่อมสมรรถภาพของเซลส์และปกป้องปอดจากมลพิษได้

สำหรับคนเมืองที่ชีวิตเร่งรีบ แต่อยากกินอาหารที่ปรุงด้วยวัตถุดิบเหล่านี้เพื่อเติมเต็มประโยชน์ให้ร่างกาย ร้านฌานา สยามเซ็นเตอร์ ชั้น 2 ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนรักสุขภาพที่กำลังมองหาความมั่นใจ และความหลากหลายของเมนูที่กินแล้วดีต่อกาย ดีต่อใจ อร่อย ที่สำคัญช่วยต้านภัยฝุ่นจิ๋วได้

และนอกจากดูแลตัวเองด้วยการกินอาหารเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงแล้ว ก็ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าลืมติดแว่นกันแดดและหน้ากากเพื่อป้องกันตัวเองจากฝุ่นละอองเมื่อต้องออกจากบ้าน หรือหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีฝุ่นควันพิษเยอะๆ อย่างน้อยก็จะเป็นเกราะกำบังช่วยลดผลกระทบจากมลพิษได้

ตามไปดูอาหาร 10 ชนิด ที่ช่วยเสริมกำลังให้กับผู้ที่ต้องใช้แรงงานกัน

1.ขนมปังโฮลวีต

ผู้ใช้แรงงานต้องการพลังงานเพื่อเสริมกำลังให้แก่ร่างกาย จึงควรกินอาหารจำพวกแป้ง เช่น ขนมปังโฮลวีต

โดยในขนมปังโฮลวีตมีสารอาหารประเภทโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เส้นใยอาหาร วิตามินกลุ่มบี วิตามินอี โซเดียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส

ประโยชน์ต่อร่างกายคือ ฟื้นฟูกำลัง ทำให้จิตใจแจ่มใส กระตุ้นเมแทบอลิซึม

2.มันฝรั่ง

โพแทสเซียมในมันฝรั่งช่วยเสริมกล้ามเนื้อ ซึ่งในมันฝรั่งเองยังมีสารอรหารประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต เส้นใยอาหาร วิตามินซี กรดนิโคทินิก (วิตามินบี 3) โพแทสเซียม

ประโยชน์ของมันฝรั่งคือ แก้กระหาย คลายความเมื่อยล้า รักษาสมดุลของความเป็นกรดและด่างในร่างกาย ควบคุมความดันโลหิต

3.มะระ

วิตามินซีในมะระช่วยลดความเครียด ความเมื่อยล้า

ในมะระยังมีเส้นใยอาหาร วิตามินซี โพแทสเซียม แคลเซียม สารมอร์ดิซีน

มะระยังช่วยรักษาสมดุลของความเป็นกรดและด่างในร่างกาย เพิ่มภูมิคุ้มกัน

4.องุ่น

น้ำตาลกลูโคสในองุ่นช่วยให้อาหารถูกย่อยและดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้รวดเร็ว อีกทั้งยังให้พลังงานและทำให้มีกำลัง

ในองุ่นมีสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โพแทสเซียม สารฟลาโวนอยด์ กรดอินทรีย์ ซึ่งมีประโยชน์คือช่วยในเรื่องความเมื่อยล้า เพิ่มภูมิคุ้มกัน

5.ส้มเช้ง

วิตามินซีในส้มเช้งช่วยกำจัดกรดแล็กติกที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ใช้แรงงาน

ในส้มเช้งมีสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เส้นใยอาหาร วิตามินซี แคโรทีน โพแทสเซียม แคลเซียม สารฟลาโวนอยด์ กรดอินทรีย์

ประโยชน์ต่อร่างกายคือ คลายความเมื่อยล้า รักษาสมดุลของความเป็นกรดและด่างในร่างกาย

6.ถั่วแดง

ถั่วแดงอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งมีคุณสมบัติชดเชยน้ำที่ร่างกายสูญเสียมีส่วนช่วยในการรักษาสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย

ในถั่วแดงมีสารอาหารประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต เส้นใยอาหาร วิตามินกลุ่มบี โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก สังกะสี

ประโยชน์ต่อร่างกายคือ ช่วยรักษาสมดุลของความเป็นกรดและด่างในร่างกาย คลายความเมื่อยล้า

7.เนื้อไก่

เนื้อไก่อุดมไปด้วยโปรตีนซึ่งเป็นสารสำคัญของโครงสร้างกล้ามเนื้อช่วยให้ผู้ใช้แรงงานมีกำลัง

ในเนื้อไก่มีสารอาหารประเภทโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามินเอ วิตามินกลุ่มบี โพแทสเซียม

เนื้อไก่มีประโยชน์คือ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ

8.เนื้อเป็ด

เนื้อเป็ดอุดมไปด้วยวิตามินกลุ่มบี ซึ่งช่วยกระตุ้นเมแทบอลิซึมฟื้นฟูกำลังวังชา

สารอาหารที่พบในเนื้อเป็ด ได้แก่ โปรตีน ไขมัน วิตามินเอ วิตามินกลุ่มบี โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก สังกะสี

ประโยชน์ของเนื้อเป็ด คือ บำรุงตับ ทำให้อารมณ์ดีทำให้จิตใจแจ่มใส

9.หอยเชลล์

หอยเชลล์มีแมกนีเซียม ซึ่งช่วยบำรุงร่างกาย นอกจากนี้ ในหอยเชลล์ยังพบสารอาหารประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินกลุ่มบี วิตามินเอ โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก สังกะสี

10.หอยนางรม

หอยนางรมอุดมไปด้วยสังกะสี ช่วยคลายความเมื่อยล้า

ในหอยนางรมยังมีสารอาหารประเภทโปรตีน วิตามินเอ วิตามินกลุ่มบี โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก สังกะสี

ประโยชน์ของหอยนางรมคือ ทำให้อารมณ์ดี ช่วยให้อวัยวะต่างๆ ทำงานตามปกติ รักษาสมดุลของความเป็นกรดและด่างในร่างกาย

กำลังจะผ่านพ้นปี 2018 ไปแล้ว เชื่อว่าเรื่องของปากท้องเป็นสิ่งสำคัญกับทุกคน ภายในปี 2018 มีเมนูเด็ดๆมาแรงให้เลือกลองกินกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะอาหารคาวหรืออาหารหวาน มติชนอคาเดมี ก็ไม่พลาด รวบรวม 12 เมนูฮิตติดกระแสในปีนี้มาฝากกัน ไปดูกันเลยว่ามีเมนูอะไรบ้าง

ชาไข่มุก

เมนูเครื่องดื่มสุดฮิต กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย หรือจะเรียกได้ว่า ยุคของชาไข่มุก เลยก็ว่าได้ ชาไข่มุกมีต้นตำรับเดิมมาจากประเทศไต้หวัน ซึ่งตัวชาเองมีความอร่อยหวานมัน บวกกับไข่มุกที่ทำมาจากแป้งมันสำปะหลัง มีรสชาติหวาน มันให้ความหนึบหนับ เคี้ยวเพลิน ทั้ง อย่างมารวมอยู่ในแก้วเดียวกัน บอกได้เลยว่าอร่อยฟินลืม โดยเฉพาะอากาศร้อนๆ แบบเมืองไทยก็ต้องชาไข่มุกนี้แหละลงตัวที่สุด

ความฮิตของไข่มุกไม่ได้อยู่แค่ในชาเท่านั้น แต่ยังมีการนำเอาไข่มุกใส่ลงไปในอาหารคาว ไม่ว่าเป็น คั่วไก่ไข่มุก ก๋วยเตี๋ยวเรือไข่มุก ถือว่าเป็นความแปลกใหม่บวกกับความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย จึงเกิดเมนูใหม่ๆ ขึ้นมา

แพนเค้กซูเฟล่

แพนเค้กเด้งดึ๋งอ้วนกลมสัญชาติฝรั่งเศสที่เคยฮิตมากในญี่ปุ่น ใครไปญี่ปุ่นต้องไปลองแพนเค้กซูเฟล่สักครั้ง โดยเฉพาะร้าน Gram Pancakes ที่ถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 11 ร้านแพนเค้กที่อร่อยที่สุดในโตเกียว ซึ่งในปีนี้เป็นครั้งแรกที่แพนเค้กแกรมได้เดินทางมาถึงเมืองไทย ด้วยความที่ตัวแพนเค้กซูเฟล่มีความหนานุ่มกว่าแพนเค้กธรรมดา รสสัมผัสนุ่มนวล ละลายในปาก จึงทำให้เป็นที่ถูกใจของใครหลายคน

ปูไข่ดอง

ปูไข่ดอง” เมนูอร่อยจากประเทศเกาหลีใต้ กลายมาเป็นอาหารจานแซ่บที่กำลังมาแรงในปีนี้  จากการรีวิวของเหล่าคนมีชื่อเสียงและยูทูเบอร์ทั้งหลายที่ถ่ายรูปถ่ายวิดีโอโชว์ความแซ่บผ่านโลกโซเชียลให้คนที่ติดตามได้น้ำลายสอ จนทนไม่ไหวต้องรีบไปหาซื้อทานตามกระแสความฮิต ได้ลิ้มรสชาติความหอมอร่อยของปูไข่ดอง ที่นำปูไข่หลังจากทำความสะอาดและลดกลิ่นคาวด้วยโซดาแล้วมาดองกับน้ำปลาเคี่ยว หากยิ่งดองไว้นานก็ยิ่งเพิ่มระดับความอร่อยเข้าไปอีก จากนั้นก็เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ รับประกันความฟิน

เกี๊ยวน้ำ

ที่มา https://pantip.com/topic/37895160

เกี๊ยวน้ำเป็นที่ฮิตกันอย่างมากในช่วงที่ละครเรื่องเมีย 2018” กำลังออนแอร์ มีหลายคนที่อินกับละครจนต้องลุกขึ้นมาทำเกี๊ยวน้ำเอาใจเหล่าบรรดาสามีกันยกใหญ่ โดยเกี๊ยวน้ำนั้นเป็นอาหารที่ทำง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่ใช่อรุณาก็ทำอร่อยได้ขอบอก เพียงแค่มีเนื้อหมูบด แผ่นเกี๊ยวสำหรับต้ม แล้วนำแผ่นเกี๊ยวมาห่อหมูบดที่หมักไว้ ต้มลงในน้ำซุปกระดูกหมู ปรุงรสตามใจชอบ โรยหน้าด้วยหอมผักชีเพื่อความหอมและสวยงาม เพียงแค่นี้ก็จะได้เกี๊ยวน้ำที่มีรสชาติกลมกล่อมหอมละมุนพร้อมเสิร์ฟ 

ไก่เผ็ดเคเอฟซี

อีกหนึ่งเมนูที่ฮิตฮอตมาแรงในปีนี้ ที่จะไม่พูดถึงเห็นทีว่าจะไม่ได้ สำหรับเมนู ไก่เผ็ดเคเอฟซี ความฮิตของไก่เผ็ดมาจากการรีวิวของคนที่ได้ลองทานมาแล้ว ทำให้คนที่ยังไม่ลองทานอยากรู้ว่าจะเผ็ดสมคำร่ำลือจริงหรือเปล่า จนเกิดกระแสซื้อไก่เผ็ดจนแถวยาวเหยียด โดยเมนูนี้มีความพิเศษอยู่ที่ตัวซอส ที่ใช้ราดบนไก่ทอดร้อนๆ มีซอส 2 แบบให้เลือกทาน คือเผ็ดเด็กเด็กและเผ็ดดุดัน” ที่เผ็ดร้อนแรงสุดขั้ว

ไก่กรอบชีสซี่ เคเอฟซี

และที่มาแรงไม่แพ้เมนูอื่นๆ สำหรับเมนูไก่กรอบชีสของเคเอฟซี ที่มีกระแสรีวิวในโซเซียลและติดแฮซแท็กในทวิตเตอร์มากมาย เป็นอีกเมนูหนึ่งที่ไม่ควรพลาดและต้องลองแวะไปทานดู สำหรับคนรักชีส เพื่อเอาใจสาวกคนชอบทานชีส ที่เคเอฟซีจัดหนักจัดเต็มราดชีสเยิ้มๆบนไก่กรอบเน้นๆทุกชิ้น พอทานชีสคู่กันกับไก่กรอบแล้วไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นส่วนผสมที่ลงตัวได้ดีขนาดนี้ รสชาติก็ต้องขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าอร่อยชีสฟินไก่

มะม่วงน้ำปลาหวาน

กระแสละครเรื่องบุพเพสันวาสที่มาแรงในปีนี้ ทำให้มีอาหารหลายอย่างเป็นที่ยอดฮิตขึ้นมา และหนึ่งในนั้นก็คือมะม่วงน้ำปลาหวาน ฉากที่แม่การะเกดอยากกินมะม่วงน้ำปลาหวาน จึงใช้บ่าวไปเก็บมะม่วง และนำวัตถุดิบที่จะทำน้ำปลาหวานมาให้ ไม่ว่าจะเป็น หอมแดง พริก ปลาย่าง น้ำตาลปึก และน้ำปลา ซึ่งในฉากนั้นก็ทำให้ผู้ชมน้ำลายสอไปตามๆ กัน จนเกิดกระแสกินมะม่วงน้ำปลาหวานกันไปช่วงหนึ่งเลย

หมูสร่ง

อาหารว่างโบราณที่ฟินคืนชีพมาพร้อมกับละครบุพเพสันนิวาส ในฉากที่แม่การะเกดตั้งใจทำให้คุณพี่หมื่นทาน หลังจากละครได้ออกอากาศไปก็ทำให้สาวๆหลายคนสวมบทเป็นแม่การะเกด ลุกขึ้นมาทำหมูสร่ง ซึ่งหมูสร่งฟังดูเหมือนเป็นเมนูที่ทำง่าย เพียงแค่นำหมูบดปรุงรสมาปั้นเป็นก้อนกลม แล้วพันด้วยเส้นหมี่ซั่ว จากนั้นจึงนำไปทอด แต่ความจริงแล้วเป็นเมนูที่มีความพิถีพิถัน การทอดต้องใช้ไฟกลางเพื่อไม่ให้เส้นหมี่ไหม้ก่อนที่หมูจะสุก และต้องทอดทีละด้านเพื่อไม่ให้เส้นหมี่ที่พันไว้กระจายตัว

กุ้งเผา

อีกหนึ่งเมนูที่เป็นเมนูยอดนิยมมานานกุ้งเผาที่กลับมาเป็นกระแสอีกครั้งจากละครเรื่องบุพเพสันนิวาสที่หลายคนดูแล้วท้องร้องไปตามๆ กัน จนต้องรีบหาเวลาว่างไปทาน ความพิเศษของเมนูนี้คือการนำกุ้งสดตัวใหญ่ๆ ไปเผาจนได้ที่ ไม่แห้งจนเกินไป เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด ที่ไม่ว่าใครได้ทานแล้วต้องติดใจ กับความเด้งและความหวานของเนื้อกุ้งเผาและมันกุ้งที่ไหลเยิ้ม บอกได้คำเดียวว่าฟินแน่นอน

หมูปลาร้า สี่แยกคอกวัว

ที่มา https://pantip.com/topic/37709489

โซเซียลแชร์กันกระหน่ำสำหรับเมนูหมูปลาร้าที่เรียกได้ว่าไปทางไหนก็มีแต่คนพูดถึง มีเหล่าคนดังมากมายได้ลองไปกินยั่วน้ำลายคนดู ซึ่งเป็นเมนูอาหารหมูปิ้งเนื้อนุ่มที่เสิร์ฟพร้อมปลาร้าสับหรือทานกับน้ำพริกต่างๆ เพื่อเพิ่มรสชาติความอร่อยให้กับหมูปิ้งยิ่งขึ้น นอกจากนี้หากทานควบคู่ไปกับข้าวเหนียวร้อนๆ หอมๆ รับรองได้เลยว่าอร่อยเหาะ

ร้านกาแฟชายทุ่ง

นาทีนี้ถ้าไม่พูดถึงก็คงจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับร้านกาแฟชายทุ่งที่มาจากพระเมตตาของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดสร้างขึ้นสนับสนุนการปลูกเมล็ดกาแฟชาวเขาจาก 9 ดอยของภาคเหนือ เพื่อสืบทอดปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งภายในร้านไม่ได้มีแค่เมนูน้ำอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีเมนูขนมอีกมากมายให้เลือกทานกันด้วย ซึ่งหลังจากเปิดร้านเพียงไม่นาน หลายคนก็ไม่พลาดแวะเวียนไปชิมกันเพียบ

ไอศกรีมอะโวคาโด โครงการหลวง

เรียกได้ว่าเป็นไอศกรีมที่คิวยาวที่สุดในตอนนี้ หลายคนเฝ้ารองานโครงการหลวงเพียงเพื่อที่จะได้กิรไอศกรีมกะทิสดน้ำตาลโตนดรสชาติหอมหวาน โปะลงบนอะโวคาโดสดหั่นชิ้น จากโครงการหลวง ที่เนื้อเนียนนุ่มและมัน เข้ากันได้อย่างลงตัว ซึ่งถือเป็นแรร์ไอเทมเลยก็ว่าได้ แต่ตอนนี้ไม่ต้องรอแล้ว อยากทานวันไหนก็สามารถไปทานได้เลยที่ ร้านดอยคำ สาขาราชเทวี

ตลอดทั้งปี 2018 มีอาหารสุดฮิตเกิดขึ้นมามากมาย แต่ที่เด็ดๆ ก็คงต้องยกให้ 12 เมนูนี้เลย อร่อย ฟิน แน่นอน ใครที่ยังไม่เคยลองเมนูไหนก็ไปลองกันเลย อย่าปล่อยให้ข้ามปี ไม่อย่างนั้นจะถือว่าพลาดอย่างแรง ส่วนปีหน้าอาหารอะไรจะฮิตติดกระแส ต้องรอติดตามกันต่อไป!!

แกงบวนตำรับมาตรฐานในตำราอาหารทั่วไปมีลักษณะเป็นแกงน้ำข้น ทั้งจากการเคี่ยวเครื่องในกับน้ำคั้นใบไม้เขียวนานร่วมชั่วโมง และทั้งจากการที่ผสมปลาเค็ม กะปิ หรือกุ้งแห้ง ปลาย่างป่นเข้าไปในพริกแกง ความหอมได้จากน้ำคั้นที่เลือกใช้ได้ตามชอบ และตะไคร้ซอย ตลอดจนผักชีหั่นที่ใส่เพิ่มในภายหลัง

คำถามตรงๆ ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนแบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมต้องตอบได้ทันทีเลยแหละครับ

เพราะทั้งในตำรากับข้าวเก่าอย่างแม่ครัวหัวป่าก์ (ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์, ๒๔๕๑) หรือตำราร่วมสมัย เช่น อร่อยต้นตำรับ (ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัตน์, ๒๕๔๗) ตำรับอาหารวิทยาลัยในวัง (คณาจารย์จากวิทยาลัยในวัง, ๒๕๓๖) บอกสูตรไว้เกือบจะเหมือนกัน จนใครที่เคยอ่านผ่านตามาบ้าง ก็ย่อมจะนึกออกว่า แกงบวนเป็นแกงแบบโบราณ ทำโดยตำเครื่องแกงอันมีกะปิเผา หอมเผา กระเทียมเผา ข่าเผา ตะไคร้ พริกไทย ปลาสลาดแห้งป่นให้ละเอียด เอาละลายในน้ำคั้นใบมะตูม ใบตะไคร้ และใบผักชีผสมกัน ตั้งไฟจนเดือด ใส่หมูสามชั้น และเครื่องในหมูต้มหั่นชิ้นใหญ่ๆ เคี่ยวไปจนนุ่ม ปรุงรสให้หวานนำเค็มตาม พอเปื่อยได้ที่ น้ำข้นดีแล้ว จึงเติมใบมะกรูดฉีก ตะไคร้ซอย พริกชี้ฟ้าหั่นแว่น จากนั้นก็ตักใส่ชาม โรยผักชี


เครื่องเคราแกงบวนมีหลายอย่าง หลักๆ เป็นเครื่องในหมู พริกแกงที่ต้องเผาคั่วเครื่องตำเกือบทั้งหมดก่อน ที่สำคัญคือมักไม่ใส่พริก ปรุงรสเค็มด้วยปลาเค็มหรือกะปิ หวานด้วยน้ำตาลปี๊บ (หม้อนี้ผมใช้น้ำตาลมะพร้าวสดๆ) และน้ำคั้นใบไม้ ที่อาจใช้ใบมะตูม มะขวิด ย่านาง ตะไคร้ ผักชีรวมกัน หรือใช้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เพิ่มกลิ่นหอมด้วยใบมะกรูด พริกชี้ฟ้า ผักชี และตะไคร้ซอยที่ใส่เพิ่มในตอนท้ายเมื่อเครื่องในเปื่อยนุ่มดีแล้ว

หลายคนแม้ไม่เคยกิน แต่ก็คงจินตนาการรสชาติได้ และย่อมตระหนักดีว่า แกงแบบนี้ไม่ได้ทำกินกันเป็นปรกติสามัญ เพราะสำหรับชาวบ้าน การจะได้กินหมูในสมัยก่อนเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก นอกจากจะมีงานบุญในวาระต่างๆ หรือช่วงเทศกาลสำคัญ ที่มีการล้มสัตว์ใหญ่เพื่อทำอาหารเลี้ยงพระเลี้ยงคนจำนวนมากเท่านั้น

นอกจากนี้ การเตรียมเครื่องในหมูให้สามารถเอามาปรุงกับข้าวได้ ตั้งแต่ล้างอย่างมีขั้นตอนกระบวนการอันซับซ้อน จนถึงต้มตุ๋นให้เปื่อย ก็ไม่ใช่เรื่องหมูๆ จำต้องมีเคล็ดลับ ฝีมือ และมีลูกมือมากพอ การปรุงแกงบวนแต่ละครั้งในสมัยก่อนจึงไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ เสียเมื่อไร

งานวิจัยเรื่องอาหารชาติพันธุ์ชาวไทยเขมรจังหวัดสุรินทร์ ของ คุณสมนึก รัตนกำเนิด (สถาบันราชภัฏสุรินทร์, ๒๕๔๒) ถึงกับระบุว่า “…หากงานแต่งงานรายใดมีแกงบวนเป็นอาหารคาว จะถือว่าเป็นงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่มาก เนื่องจากแกงบวนมีวิธีการทำที่ยุ่งยากซับซ้อน…”

…………..

คำตอบมาตรฐานต่อคำถามที่ว่าอะไรคือแกงบวน มาถูกเขย่าอย่างแรงด้วยนิยามแกงบวนสายเพชรบุรีแบบหนึ่ง

คุณวริทธิ์ แจ่มใส ช่างภาพอิสระชาวเมืองเพชรบุรี เล่าให้ผมฟังว่า แกงบวนสำหรับคนเพชรบุรีแถบอำเภอเมืองฯ และอำเภอบ้านแหลม คือการเอาภัตตาหารคาวของพระที่เหลือหลายๆ ชนิด มาเทรวมกันแล้วเอาไปอุ่นให้เดือดอีกครั้ง หรือเรียกว่าเอาไป “บวน” กระบวนการนี้ต้องทำทันทีหลังเทรวมกันเพื่อไม่ให้บูดเสีย โดยหลักๆ แล้วก็มักมีแกงเผ็ด จะเข้ากะทิหรือไม่กะทิก็ได้ แต่ถ้ามีหน่อไม้จะอร่อยเป็นพิเศษ นอกนั้นก็อาจเป็นผัดพริก ผัดจืด ไข่เจียว ไข่พะโล้ แต่ต้องดูให้หน้าตาไปในทิศทางเดียวกัน

“ผมเคยเจอคนที่อยากกินแกงบวนนอกพรรษา เขาไปซื้อกับข้าวถุงมาสี่อย่าง คือ แกงหน่อไม้ไก่ แกงป่าหมู ไข่พะโล้ และผัดอะไรอีกอย่างหนึ่ง มาถึงก็แกะทุกอย่างรวมกันแล้วเอาไป ‘บวน’ คือตั้งไฟจนเดือด กลิ่นแกงบวนนี้จะหอมมากๆ ครับ” คุณวริทธิ์ยังบอกอีกว่า “เคยคุยกับญาติที่ไปทำงานภาคใต้ เขาบอกทางนั้นไม่รู้จักหรอกแกงบวนเขาเรียกกันว่าแกงสำรวม หรือแกงสมรม”


ผัดพริกแกงบวนในน้ำมันหมูก่อนให้หอม จึงค่อยละลายใส่ในหม้อต้มเครื่องใน

ในแง่นี้ แกงบวนเพชรบุรีสูตรนี้จึงเหมือน “แกงสำรวม” ที่เด็กวัดไทยสมัยก่อนรู้จักกันดี มันคือการจัดการกับข้าวถวายพระหลังวันพระใหญ่ได้อย่างน่าประทับใจ คุณวริทธิ์ยังบอกว่า ในทางพระนั้นมีคำว่า “เอาภัตต์มาสำรวมกัน” หมายถึงเอามารวบรวมไว้ที่เดียวกันนั่นเอง

ผมคิดว่า ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งของคุณวริทธิ์นั้นสำคัญมากๆ คือเป็นไปได้ไหมที่การใส่ผักหลายๆ ชนิดใน “แกงสมรม” ของคนภาคใต้นั้นมีฐานคิด (หรือการระลึกถึง) มาจากการ “สมรม/สำรวม” แบบมหกรรมจัดการอาหารเหลือหลังวันพระนี้เอง จนแม้ในวันธรรมดา ก็ยังทำกินกันเองที่บ้าน และเมื่อเวลาได้ผ่านไปนานเข้า ก็เหลือเพียงชื่อและลักษณะแกงที่รวมผักหลายๆ ชนิดไว้ในหม้อเดียวกัน
ให้พอเห็นเค้าเดิมเท่านั้น

พยุง วงษ์น้อย เพื่อนชาวเพชร บุรีอีกคนหนึ่งของผมเล่าว่า เธอได้คุยกับคนพื้นเพอยุธยาที่มาอยู่อำเภอบ้านลาด เพชรบุรีแล้วเขาทำแกงอย่างหนึ่งกิน วิธีคือเอาแกงเผ็ดจากหลายๆ เจ้า ที่เอาไปทำบุญมาอุ่นรวมกัน เรียก “แกงสำรวม” แต่พยุงบอกว่า เขาต้อง “เอาต้มรวมต้ม แกงรวมแกง ไม่เอาปนกัน” ขั้นตอนวิธีการนี้เหมือนกันเกือบเปี๊ยบกับแกงบวนแบบที่คุณวริทธิ์อธิบาย

แต่ผมยังค้นไม่พบ สอบถามคนเพชรบุรีคนอื่นๆ ก็ยังไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมนะครับว่า นอกจากเขตอำเภอเมืองฯ และบ้านแหลมแล้ว คำว่า “บวน” ถูกใช้เป็นกิริยาทำนองว่าเอาแกงเก่ามาปรุงใหม่แบบนี้ที่ไหนอีกบ้าง

คงต้องช่วยกันสืบค้นต่อไปล่ะครับ

……………..


เคี่ยวไฟอ่อนนานจนเครื่องในเปื่อยนุ่ม พริกแกงและน้ำคั้นใบไม้เขียวซึมเข้าในเนื้อ

อย่างไรก็ดี ผมนึกขึ้นมาได้ว่า เพื่อนชาวสุรินทร์เคยเล่าเกร็ดเรื่องแกงบวนให้ฟังเมื่อนานมาแล้ว เขาบอกว่า “บวน” นั้นเป็นภาษาเขมร แปลว่า “สี่” (๔) แกงบวนสุรินทร์คือแกงที่ต้องกินในงานมงคล (ตรงข้ามกับแกงกล้วย ที่แกงกินในงานอวมงคล) เท่านั้น โดยประกอบด้วยเครื่องในหมู ๔ อย่าง ตอนที่เล่านั้น เขาเองก็ระบุชัดๆ ไม่ได้ว่าคืออะไรบ้าง แต่จากสูตรแกงบวนเก่าๆ ที่มักบอกคล้ายๆ กันให้ใช้หัวใจ ปอด ตับ ม้าม ก็อาจส่อเค้าให้เราเห็นร่องรอยที่ว่านี้บ้างก็เป็นได้

คำอธิบายนี้นับว่าฟังดูมีน้ำหนักให้ค้นต่อนะครับ เพราะอย่างน้อยก็พอฟังขึ้น ว่าทำไมถึงเรียกแกง “บวน” ซึ่งผมคิดว่าคำอธิบายภาษาไทยเท่าที่ผ่านมายังทำได้ไม่จุใจพอ

………………

สำหรับผม แกงบวนมีนัยสำคัญอยู่อย่างน้อย ๒ เรื่อง คือ หนึ่ง มันดูเป็นกับข้าวโบราณสมัยก่อนที่สยามจะมีพริก (Chilli) กินมากๆ ค่าที่ว่าน้ำพริกแกงบวนแทบทุกสูตรจะแค่เผ็ดร้อนพริกไทย ไม่ใส่พริก และสอง การรื้อฟื้นแกงบวนให้กลับมาแพร่หลายอีกครั้งต้องเป็นเรื่อง “หิน” เอาการทีเดียว

มันไม่ใช่แค่เรื่องรสชาติ ที่คงยากจะสร้างความคุ้นเคยให้ลิ้นคนปัจจุบัน แต่รวมถึงปัญหาเรื่องวัตถุดิบ เช่น ใบมะตูม ใบมะขวิด ใบตะไคร้ ที่น่าจะหายากมากๆ แล้วด้วย อย่างไรก็ดี ความที่มันยากนี่แหละครับ มันจึงเป็นเรื่องท้าทาย ว่าถ้าทำได้สำเร็จ ย่อมไม่ใช่แค่สูตรอาหารเท่านั้น ทว่าคือสภาพแวดล้อมและความหลากหลายทางพันธุกรรมพืช ที่จะถูกคำนึงถึงคุณประโยชน์และการคงอยู่ แบบที่ไม่เคยมีใครมองเห็นมาก่อนหน้า

กับข้าวบางสำรับจึงอาจส่งผลเกี่ยวเนื่องไปถึงนโยบายการจัดสรรพื้นที่สาธารณะ ด้วยประการฉะนี้

 

 


ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ กุมภาพันธ์ 2560
ผู้เขียน กฤช เหลือลมัย

ในปี 2020 คาดว่าจะมีมนุษย์อาศัยอยู่บนโลก 9 พันล้านคน ซึ่งทำให้ความต้องการอาหารเพิ่มขึ้น 70% จึงเป็นเหตุผลให้นักวิทยาศาสตร์พยายามนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิตอาหารมากขึ้น มาดูกันว่า 5 เมนูที่คุณต้องกินมนอนาคตมีอะไรบ้าง

1.จิ้งหรีดแท่ง

จิ้งหรีดนั้นมีปริมาณโปรตีนมากกว่าเนื้อวัวถึง 3 เท่า แถมยังผลิตแก๊สเรือนกระจกน้อยกว่าถึง 100 เท่า ทั้งนี้ แมลงเป็นสิ่งที่คนกว่า 2 พันล้านคนกินอยู่แล้วทุกวัน ทำให้หากในอนาคตจะมาเป็นเมนู “จิ้งหรีดแท่ง” ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก

2.ขนมปังเคิร์นซา (Kernza bread)

เคิร์นซาเป็นธัญพืชชนิดใหม่ที่มีวิธีการปลูกที่แตกต่างไปจากข้าวสาลีแบบเดิม และยังดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าอีกด้วย โดยในอนาคตเราอาจจะพบการนำธัญพืชชนิดนี้มาใช้ในการอบขนมหรือทำเบียร์

ประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมที่พบคือ รากที่ฝังลึกของเคิร์นซายังเก็บคาร์บอนไว้ในดินได้มากกว่าข้าวสาลีด้วย

นอกจากนี้ยังให้ผลผลิตได้ถึง 5 ครั้ง/การปลูก 1 ครั้ง จากปกติที่ให้ผลผลิตได้แค่ครั้งเดียว

3.เบอร์เกอร์จากพืช

นักวิทยาศาสตร์อาหารได้คิดค้นการทำเบอร์เกอร์จากถั่วและถั่วเหลือง ซึ่งจะให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากเดิม

4.น้ำมันสาหร่าย

อย่างที่ทราบกันดีว่าน้ำมันที่ขายในตลาด เช่น น้ำมันปาล์มนั้นไม่ยั่งยืน นักวิทยาศาสตร์จึงพยายามสกัดสาหร่ายจากพืช เพื่อสร้างน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพสำหรับมนุษย์และโลกมากกว่าเดิม

5.นักเก็ตไก่สุดคลีน

ในแต่ละปีมีไก่ที่ถูกนำไปเป็นอาหารกว่า 5 หมื่นล้านตัว ซึ่งแทนที่จะไปฆ่าสัตว์ปีกเหล่านี้มากขึ้น บริษัท 15 บริษัทจึงได้พยายามคิดค้นการเพาะเลี้ยงเนื้อไก่จากเซลล์สัตว์ในห้องทดลอง ที่ปัจจุบันเรียกว่า “meat breweries”


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111
ติดตามอ่านข่าวสารได้ที่ www.matichonacademy.com

ไม่พลาดข่าวสารอาหาร ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ เกร็ดความรู้
คอร์สเรียนสนุกๆได้ประโยชน์-เสริมอาชีพ
คลิกติดตามเพจเฟซบุ๊ค MatichonAcademy

เมื่อพูดถึงอาหารที่กินแล้วทำให้ป่วย เชื่อว่าหายคนคงไม่นึกถึงอาหารประเภทผักผลไม้สด สิ่งที่หลายคนนึกถึงมักจะเป็นอาหารทะเล หรือเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก แต่พวกผักงอก, ผักขม และน้ำผลไม้ที่ยังไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ ก็ทำให้ร่างกายเราป่วยได้เช่นกัน เพราะในอาหารบางชนิดยังมีเชื้อแบคทีเรียกที่ชื่อ E. coli ซึ่งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐได้ทำการตรวจอาหารที่อาจส่งผลให้คนป่วย หลังพบว่ามีคนป่วยจากการกินผักกาดหอม 53 คนใน 16 รัฐของสหรัฐอเมริกา

ลองมาดูกันว่าอาหาร 7 ชนิดที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐบอกว่าหากทำไม่ดีอาจกินแล้วป่วยได้ มีอะไรบ้าง

1.ผักขมที่ไม่ได้ล้างหรือปรุงไม่สุก อาจมีเชื้อ E. coli และโนโรไวรัส

เกือบครึ่งหนึ่งของการเจ็บป่วยจากอาหารที่ CDC ทำการบันทึกไว้นั้นมีสาเหตุมาจากขั้นตอนการผลิต ซึ่งส่วนใหญ่ (22%) พบในผักขม ทำให้ผักใบเขียวชนิดนี้กลายเป็นผักที่อันตรายที่สุด ที่ CDC รายงาน

เนื่องจากหลายคนมักกินผักและผลไม้แบบดิบๆ ทำให้อาจมีเชื้อแบคทีเรียตกค้าง ซึ่งเมื่อกินเข้าไปก็ทำให้เจ็บป่วยได้ โดยหากปนเปือนเชื้อโนโรไวรัสก็อาจทำให้ผู้กินมีอาการอาเจียนและท้องเสียได้ หรือเชื้อ E. coli ก็ทำให้เกิดอาการในระบบทางเดินอาหารเช่นเดียวกัน

ดังนั้น ก่อนกินจึงควร้างผักให้สะอาด เพื่อป้องกันและลดความเส่ยงการปนเปื้อนนั่นเอง

2.ไก่และไก่งวง อาจทำให้เกิดการติดเชื้อลิสเทอเรีย ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้

จากรายงานของ CDC พบว่ายอดผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อจากการกินไก่และไก่งวง มีมากกว่าอาหารชนิดอื่นๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะครั้งหนึ่งเคยมีการระบาดของโรคชนิดนี้ในช่วงปี 1998-2002 โดยโรคลิสเทอเรียนั้นมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่าลิสเทอเรีย ผู้ป่วยจะมีอาการตั้งแต่มีไข้และท้องเสีย ไปจนถึงปวดเมื่อยคอ ปวดหัว และวิงเวียนศีรษะ ซึ่งกลุ่มเส่ยงก็คือหญิงตั้งครรภ์ เด็ก และคนชรา

3.ผักงอกต่างๆ มักปนเปื้อนเชื้อแซลโมเนลลา

สภาพแวดล้อมชื้นๆ ที่เหมาะแก่การเติบโตของผักงอก ก็เหมาะต่อการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียด้วย โดยเฉพาะแซลโมเนลลา ซึ่งเป็นสาเหตุให้ท้องเสีย, มีไข้ และปวดท้อง

4.น้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์

ตั้งแต่ปี 1995-2005 มีชาวสหรัฐหลายพันคนจากหลายรัฐ ป่วยหลังจากกินน้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ ซึ่งอาจมีเชื้อ E. coli เชื้อแซลโมเนลลา รวมไปถึงปรสิตอื่นที่พบในผลไม้ด้วย เช่น cryptosporidium

5.สัตว์ใต้ทะเลที่กินอาหารผ่านการกรอง

สัตว์ใต้ทะเลที่กินอาหารผ่านการกรอง และอยู่ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะหอยที่อยู่ใต้ทะเลเป็นเวลาหลายเดือน เช่น หอยนางรม จะมีจุลินทรีย์มาอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งจุลินทรีย์ที่มักพบคือแบคทีเรียที่ชื่อว่า Vibrio ซึ่งเติบโตได้ดีในน้ำทะเล หากคนกินหอยนางรมแบบดิบๆ ก็อาจได้รับเชื้อดังกล่าวได้

6.ผลิตภัณฑ์จากนมและไข่อาจมีเชื้อแซลโมเนลลาปนเปื้อน

อาหารมาจากผลิตภัณฑ์จากสัตว์หลายๆ อย่าง เช่น น้ำนมดิบ, ไข่ไก่สด นั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะแบคทีเรียที่อยู่ในสัตว์จะถูกส่งผ่านมายังน้ำนมและไข่ด้วย ที่พบมากคือเชื้อแซลโมเนลลานั่นเอง

7.เนื้อวัวบดที่ไม่สุก

นอกจากผลิตภัณฑ์นมแล้ว ที่ควรระวังจากวัวอีกก็คือ เนื้อบด ที่อาจผสมระหว่างเนื้อสัตว์หลายชนิด ซึ่งหมายความว่ามีแนวโน้มที่จะมีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียสูง โดยเฉพาะหากปรุงไม่สุก ทำให้เราอาจได้รับเชื้อแบคทีเรียอย่าง E. coli และ Clostridium


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111
ติดตามอ่านข่าวสารได้ที่ www.matichonacademy.com

ไม่พลาดข่าวสารอาหาร ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ เกร็ดความรู้
คอร์สเรียนสนุกๆได้ประโยชน์-เสริมอาชีพ
คลิกติดตามเพจเฟซบุ๊ค MatichonAcademy

อาหารบางชนิดใช่ว่าจะได้กินมื้อไหนเวลาไหนก็ได้ เพราะอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย โดยเฉพาะอาหาร 8 อย่างนี้ ที่ขอบอกไว้เลยว่าไม่ควรกินก่อนนอนเด็ดขาด มาดูกันว่าจะมีอะไรบ้าง

1.ของทอด

กลิ่นน้ำมันหอมๆ ทำให้ของทอดอาจเป็นของโปรดของใครหลายคน แต่คงต้องบอกว่าอาหารมันย่องเต็มไปด้วยไขมันนี้จะเข้าสู่ร่างกายช้ากว่าโปรตีนและแป้ง ดังนั้น จะทำให้ร่างกายของคุณทำงานหนักในขณะที่คุณหลับไป ซึ่งหากคุณไม่ต้องการให้ระบบทางเดินอาหารยังต้องทำงานหนักในขณะที่ร่างกายกำลังพักผ่อนนอนหลับ ก็ไม่ควรกินของทอดก่อนนอน

2.อาหารเผ็ด

เหตุผลที่คุณควรหลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดก่อนนอนก็คือ อาหารเผ็ดๆ สามารถทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการระคายเคือง และทำให้เกิดอาการเสียดท้องได้ ซึ่งทำให้หลับยากขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้ร่างกายหลั่งสารฮิสตามีนออกมา ซึ่งเป็นสารที่ส่งเสริมให้ร่างกายตื่นตัว จึงทำให้หลับยากขึ้นด้วย

3.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

การจิบเครื่องดื่มเบาๆ อย่างไวน์แดงสักแก้วก่อนนอนอาจทำให้คุณรู้สึกเพลิดเพลิน แต่จะทำให้คุณหลับได้ไม่ดีได้ เพราะเมื่อหัวคุณถึงหมอน ตับของคุณจะกำลังทำงานอย่างหนักในการพยายามกำจัดแอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย ทั้งนี้ เนื่องจากตับและหัวใจมีความเกี่ยวเนื่องกัน เมื่อตับกำลังทำงาน ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ซึ่งจะปลุกคุณให้ตื่นขึ้นมา

4.ช็อกโกแลต

ต้องขอบอกว่ากาแฟไม่ใช่แหล่งคาเฟอีนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ “ช็อกโกแลต” ก็เป็นแหล่งคาเฟอีนประเภทหนึ่งด้วย โดยช็อกโกแลต 1 ออนซ์ จะมีคาเฟอีนประมาณ 23 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับหนึ่งในสี่ของกาแฟ 1 ถ้วย

5.น้ำเปล่า

ส่วนใหญ่แล้วการดื่มน้ำเราอาจจะต้องยกนิ้วให้คนที่ดื่มน้ำบ่อยๆ จนได้หรือเกินกับที่ปริมาณร่างกายต้องการ แต่คงไม่ใช่กับคนที่ดื่มน้ำปริมาณมากๆ ก่อนนอน เพราะการดื่มน้ำก่อนนอนจะทำให้ร่างกายต้องการขับของเหลวออก ซึ่งจะทำให้คุณต้องลุกมาเข้าห้องน้ำกลางดึก และทำให้การหลับไม่ต่อเนื่อง ดังนั้น จึงควรดื่มให้เพียงพอในระหว่างวันไปจนถึงมื้อเย็น แต่ไม่ควรดื่มน้ำก่อนนอน

6.กาแฟ

หลายคนคงรู้ดีอยู่แล้วว่าในกาแฟมีคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง และทำให้ร่างกายตื่นตัว ลดความง่วง ดังนั้น สำหรับคอกาแฟแล้ว แนะนำว่าหากอยากมีการนอนหลับที่ดีขึ้น ไม่ควรกินกาแฟหลังบ่ายต้นๆ แต่ถ้าหากต้องจิบกาแฟเพื่อกินคู่กับขนมหวานในช่วงประมาณบ่ายสาม ควรจะลดปริมาณคาเฟอีนลงครึ่งหนึ่ง

7.ไอศกรีมกาแฟ

น่าเสียดายว่าของหวานหลังอาหารมื้อค่ำไม่ควรเป็นไอศกรีมกาแฟ เพราะมีกาแฟเป็นส่วนประกอบ ซึ่งในกาแฟก็มีคาเฟอีนนั่นเอง

8.ขนมเพิ่มพลัง

อาหารและขนมเพิ่มพลังเหล่านี้ประกอบไปด้วยคาเฟอีน เพื่อช่วยเพิ่มสมรรถนะของนักกีฬา ดังนั้นจึงไม่ควรกินอาหารเหล่านี้ในช่วงใกล้นอน นอกจากนี้ยังควรตรวจดูบนฉลากให้แน่ใจว่าโปรตีนเชคที่คุณกินหลังออกจากยิมนั้นไม่มีคาเฟอีนผสมอยู่


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111
ติดตามอ่านข่าวสารได้ที่ www.matichonacademy.com

ไม่พลาดข่าวสารอาหาร ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ เกร็ดความรู้
คอร์สเรียนสนุกๆได้ประโยชน์-เสริมอาชีพ
คลิกติดตามเพจเฟซบุ๊ค MatichonAcademy