“จิงจูฉ่าย”กระทรวง อว.-TED Fund ลงนาม MOU 10 หน่วยงาน เสริมแกร่งผู้ประกอบการเทคฯ รุ่นใหม่ พร้อมผนึก บสย. เสริมแหล่งเงินทุน ดันธุรกิจนวัตกรรมเติบโตมั่นคง คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1 พันล้านบาท ในปี 67
กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ TED Fund กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดพิธีลงนามความร่วมมือกับเครือข่ายร่วมพัฒนาผู้ประกอบการ (TED Fellow) รวม 10 หน่วยงาน เน้นสนับสนุนผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรมรุ่นใหม่ เข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมศักยภาพ ยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านธุรกิจไทยอย่างมั่นคง พร้อมลงนาม บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร่วมสร้างโอกาสช่วยเหลือการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อที่เพียงพอ ตอบโจทย์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน คาดการณ์ภายในปี 2567 จะสามารถสร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมได้ 1,000 ล้านบาท

นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในเป้าหมายของการเดินหน้าไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ‘กระทรวง อว.’ จึงให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ การวิจัย และนวัตกรรมของไทยให้เข้าใกล้กับมาตรฐานสากล รวมถึงเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันด้านเศรษฐกิจด้วยฐานนวัตกรรมในระดับนานาชาติด้วย แนวทางหลักที่กระทรวง อว. ใช้ในการทำงาน คือการเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรมในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับเยาวชน, Startup ไปจนถึง SMEs รวมถึงมุ่งสร้างให้เกิดมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์จริงในเชิงพาณิชย์ โดยมี TED Fund เป็นหนึ่งในกลไกเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มผู้ประกอบการ ทั้งกับด้านองค์ความรู้พัฒนาศักยภาพ รวมถึงหนุนเงินทุน

“7 ปีที่ผ่านมา TED Fund ทำงานร่วมกับเครือข่ายร่วมพัฒนาผู้ประกอบการ หรือ TED Fellow ในการพัฒนาไอเดียต้นแบบทางธุรกิจ จนมีความพร้อมออกสู่ตลาดไปได้แล้วกว่า 760 โครงการ และเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมแล้วกว่า 4,500 ล้านบาท พร้อมส่งผลให้เกิดนวัตกรรมและธุรกิจใหม่ ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมให้ประเทศไทยได้อย่างมากมาย ทั้งนี้ การลงนามความร่วมมือ TED Fellow และ บสย. จะเสริมให้ TED Fund สามารถสนับสนุนผู้ประกอบการได้มากถึง 260 ราย ในวงเงินรวมกว่า 270 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท” ผู้ช่วยปลัด อว. กล่าว

ดร.ชาญวิทย์ ตรีเดช ผู้จัดการกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) กล่าวว่า TED Fund ได้เริ่มจัดตั้งเครือข่าย TED Fellow ขึ้น ตั้งแต่ปี 2563ให้มีบทบาทในการเป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษา และสร้างความเป็นผู้ประกอบการกับนักศึกษาที่มีไอเดียและต้องการเงินทุนสนับสนุน ผ่านโครงการยุววิสาหกิจเริ่มต้น (TED Youth Startup) ซึ่งประกอบด้วยโปรแกรม IDEA (สำหรับการนำไปพัฒนาแผนธุรกิจฉบับสมบูรณ์และผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ในกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ไม่เกิน 5 ปี) และโปรแกรม POC (สำหรับกลุ่มนิติบุคคล ที่ต้องการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตในเชิงพาณิชย์) การสนับสนุนของ TED Fund มีแนวทางการดำเนินงาน 2 เรื่องสำคัญ คือ 1.การสนับสนุนทุนในรูปแบบทุนอุดหนุนสมทบบางส่วน (Matching Grant) ภายใต้กรอบวงเงินสนับสนุน 90% ของมูลค่าโครงการที่ได้รับอนุมัติ ไม่เกิน 2 ล้านบาท, 2.การสนับสนุนในด้านการพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจ ผ่านโครงการต่าง ๆ ได้แก่ TED Innovation & Business Training กิจกรรมเสริมสร้างองค์ความรู้ ทั้งด้านการสร้างแบรนด์ การเจรจาซื้อขาย กฎหมาย จนถึงการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ, TED Market Scaling Up Program โปรแกรมสัมมนาเชิงลึก ซึ่งช่วยขยายธุรกิจให้ผู้ประกอบการกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตในตลาดโลก

Pic (10)
Pic (6)

“สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 นี้ TED Fund ได้จัดตั้งเครือข่าย TED Fellow เพิ่มเติมครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมจัดการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) รวม 10 หน่วยงาน ประกอบด้วย อุทยานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ (SPTI PCRU), หน่วยวิจัยนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (STIP-RU), ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ (HUBIC), คณะดิจิทัลมีเดีย มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SDM), ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยสยาม (UBiS), ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABLE), ศูนย์สร้างสรรค์ผู้ประกอบการและนวัตกรรม คณะการสร้างเจ้าของธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม (CCEI), บริษัท บินได้ จำกัด (Bindai), บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด (Techsauce) และ บริษัท เรียลลี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (SEA Bridge ) อีกทั้งยังได้ ‘บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม’ หรือ บสย. ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ เพื่อร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพด้านการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs เทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมช่วยตอบโจทย์สำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ” ดร.ชาญวิทย์ กล่าว

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า บสย. เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่มีบทบาทในการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น โดยทำหน้าที่เป็น SMEs Gateway ที่เชื่อมโยงเงินทุนและโอกาสแก่ SMEs รวมไปถึงเชื่อมโยง SMEs กับพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชน ให้สามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้โดยง่าย นี่จึงนับเป็นก้าวสำคัญที่ บสย. และ TED Fund จะได้ทำหน้าที่ในการเป็น ‘Funding Gateway’ เพื่อร่วมกันเติมเงินทุนและเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีศักยภาพมากขึ้น

“บสย. มีโครงการ Smart Gen ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PSG 11 ‘บสย. SMEs ยั่งยืน’ ในการร่วมกับสถาบันการเงินรวม 18 แห่ง เพื่อปล่อยสินเชื่อที่เน้นช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการใหม่ (อายุไม่เกิน 3 ปี) ในกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจบใหม่และกลุ่มนิวเจน เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นจริงได้ ในความร่วมมือนี้ บสย. จึงเข้ามาช่วยเสริมสภาพคล่องให้ผู้ที่ได้รับทุนจาก TED Fund ให้เข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ง่ายมากขึ้น โดยนำกลไกค้ำประกันมาใช้สำหรับการลงทุนในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ได้สูงสุด 500,000 บาทต่อราย อัตราค่าธรรมเนียม 1.75% ต่อปี และภาครัฐช่วยสนับสนุนค่าธรรมเนียมใน 2 ปีแรก ซึ่งเราคาดว่าจากการ MOU ครั้งนี้ จะมีผู้ประกอบการ SMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากกว่า 200 ราย คิดเป็นวงเงินค้ำประกันกว่า 300 ล้านบาท ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบกว่า 360 ล้านบาท” นายสิทธิกร กล่าว

โก โฮลเซลล์ มาตามนัด เปิดสาขารามคำแหง 127 ปลุกพลังผู้ประกอบการร้านอาหาร โชห่วย เตรียมรับกำลังซื้อจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

โก โฮลเซลล์ (GO Wholesale) ศูนย์ค้าส่งวัตถุดิบอาหาร จุดหมายใหม่เพื่อผู้ประกอบการในระบบสมาชิก ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดสาขารามคำแหง 127 แล้ววันนี้ 

เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองที่หนาแน่นไปด้วยผู้ประกอบการร้านอาหารทุกขนาดรวมถึงสตรีทฟู้ด ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก ที่เล็งเห็นโอกาสจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยมี แพทย์หญิงวันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีเปิด

นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจในประเทศไทยและต่างประเทศ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดเผยว่า โก โฮลเซลล์ สาขารามคำแหง 127 มีพื้นที่กว่า 10,000 ตร.ม. เป็นสาขาลำดับที่ 7 ที่เปิดตัวมาในช่วงที่ผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก มองเห็นโอกาสจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐต่างๆ ที่หลั่งไหลออกมา ไม่ว่าจะเป็น ดิจิทัลวอลเล็ต, การผลักดันซอฟท์พาวเวอร์ด้านอาหาร, การส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว, มาตรการกระตุ้นการบริโภคในภาคครัวเรือน และอื่นๆ ซึ่งช่วยปลุกกำลังซื้อของผู้บริโภคให้คึกคัก และจะส่งผลให้ผู้ประกอบการได้รับอานิสงส์กันเป็นจำนวนมาก

“หากจำแนกผู้ประกอบการในย่านรามคำแหง บางกะปิ จะพบว่า ในพื้นที่นี้ มีความหลากหลายของประเภทกิจการอยู่มาก ซึ่งหากนับเฉพาะ ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก, ร้านอาหาร ธุรกิจโฮเรก้า, ธุรกิจบริการ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของ โก โฮลเซลล์ จะเห็นเลยว่า ร้านอาหารมีสัดส่วนเยอะที่สุด โดยเฉพาะ สตรีทฟู้ด, ร้านกาแฟ เครื่องดื่ม และเบเกอรี่, อาหารตามสั่ง, ก๊วยเตี๋ยว ที่มีความต้องการแหล่งจำหน่ายวัตถุดิบคุณภาพ ในราคาคุ้มค่า”

ภาพที่ 3_0
ภาพที่ 6_0

ปัจจุบัน ย่านรามคำแหง เป็นทำเลที่น่าจับตามอง เพราะอยู่บริเวณฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ และมีจุดเชื่อมต่อกับถนนสำคัญหลายสาย เช่น ถนนลาดพร้าว พระราม 9 ศรีนครินทร์ มีนบุรี ร่มเกล้า ลาดกระบัง สามารถเดินทางไปยังหลายพื้นที่ได้สะดวก นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยชื่อดังหลายแห่ง สนามกีฬาขนาดใหญ่ และยังเป็นเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้ม “ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี” ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อของสถานีรถไฟฟ้ามากกว่า 2 สถานี ส่งผลให้เกิดการขยายตัวทางการค้าและผู้ประกอบการร้านอาหารจำนวนมาก

“เรามีความมุ่งมั่นที่จะร่วมสนับสนุนความสำเร็จของผู้ประกอบการร้านอาหาร ที่ต้องแข่งขันทั้งคุณภาพวัตถุดิบที่ต้องสดสะอาดเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคในราคาที่สามารถสร้างกำไร ซึ่งทั้งหมดสามารถตอบโจทย์ครบที่โก โฮลเซลล์ ทุกสาขา ด้วยแผนกอาหารสดของเรา ที่เป็น King of Fresh และเป็นที่ยอมรับว่ามีสินค้าให้เลือกสรรมากมาย พร้อมทั้งมีบริการที่ช่วยลดต้นทุนอย่าง การตัดแต่งสินค้าตามความต้องการ, บริการบ่มเนื้อดรายเอจ, Beverage Solution ที่เป็นแหล่งเรียนรู้เสริมไอเดียให้ผู้ประกอบธุรกิจเครื่องดื่ม และลอยัลตี้โปรแกรมที่มีสิทธิประโยชน์มากมายและเชื่อมต่อกับลอยัลตี้แพลตฟอร์ม The1 ในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป ” นางสุชาดา กล่าว

นอกจากนี้ โก โฮลเซลล์ ยังให้ความสำคัญกับการสร้างอาชีพที่มั่นคง ด้วยการสนับสนุนวัตถุดิบอาหาร ให้แก่ ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ เพื่อเป็นอุปกรณ์ในการเรียนการสอนสร้างทักษะอาชีพด้านอาหาร ให้กับผู้ว่างงาน คนวัยเกษียณด้วย

สำหรับผู้สมัครสมาชิกใหม่ โก โฮลเซลล์ สาขารามคำแหง 127 จะได้รับฟรีคูปองส่วนลดมูลค่ารวม 1,000 บาท และพิเศษสำหรับสมาชิก The1 ใช้เพียง 500 คะแนน แลกส่วนลดเท่ากับ 100 บาท (เฉพาะสาขารามคำแหง) เมื่อซื้อสินค้าอย่างต่ำ 2,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน – 29 พฤษภาคม 2567 รวมถึงรับสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย สมัครสมาชิกได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายได้ทั้งหน้าร้าน หรือทางออนไลน์ที่ https://centralfoodwholesale.co.th/membership/

Xendit บุกตลาดไทย

Journal ข่าวสาร

บุกตลาดไทย

Xendit สตาร์ทอัพยูนิคอร์น สัญชาติอินโดนีเซีย เปิดตัวภายใต้งาน ‘Xendit Presents: Raising the Stakes for Thailand’s Digital Economy’ ให้บริการโซลูชันชำระเงินดิจิทัลครบวงจร เพื่อการชำระเงินที่ง่าย สะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมช่วยยกระดับศักยภาพการเติบโตเศรษฐกิจดิจิทัลไทย โดยมี โมเสส โล ,เทสซ่า วิจายะ พร้อมด้วย กรณ์ จาติกวาณิช และ วิศิษฎ์ ยินดีสิริวงศ์ ร่วมพูดคุยและให้ความรู้ในหัวข้อ ความสำคัญหรือความเสี่ยงสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ที่ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 67

 

Xendit เป็นบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินที่ให้บริการโซลูชั่นการชำระเงินและลดความซับซ้อนของกระบวนการชำระเงินสำหรับธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ SMEs สตาร์ทอัพ อีคอมเมิร์ซ ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ Xendit ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ รับการชำระเงินจากลูกค้า ดำเนินธุรกิจ Marketplace และอื่นๆ ผ่านแพลตฟอร์มที่ผสานรวมอย่างง่ายๆ ซึ่งสนับสนุนโดยฝ่ายบริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง ในฐานะสตาร์ทอัพรายแรกของอินโดนีเซียจาก YCombinator และเป็นยูนิคอร์นการชำระเงิน B2B แห่งแรกในอินโดนีเซีย ที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนระดับโลกและบริษัทร่วมทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Xendit ได้ช่วยซัพพอร์ตแบรนด์ที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างๆ รวมถึง Traveloka, Wish และ Grab สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม http://xendit.co 

'Elite Plus Magazine 10th Anniversary Gala Celebration'

Elite Plus ฉลอง 10 ปีอย่างยิ่งใหญ่
ชวนภาคีรักโลก และมอบทุนสนับสนุน ‘มูลนิธิบราเดอร์ฮีแลร์’ 
จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อฉลองความสำเร็จของ นิตยสาร Elite Plus นิตยสารราย 2 เดือน โดยบริษัท อีลีท ครีเอทีฟ จำกัด ในเครือของสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น ได้รับความสนใจจากแก่กลุ่มผู้อ่านอาทิ สมาชิกบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ Platinum Leader Card และบัตรเครดิต Corporate Card ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศในไทย, สภาหอการค้าต่างประเทศในไทย และนักอ่านที่ชอบซึมซับแนวคิดและแรงบันดาลใจจากบุคคลที่ประสบความสำเร็จทั้งเรื่องชีวิตและการงาน พร้อมอัปเดตสถานการณ์โลกในปัจจุบัน สำหรับความพิเศษในปีนี้ Elite Plus จัดยิ่งใหญ่ฉลองครบ 10 ปี ‘Elite Plus Magazine 10th Anniversary Gala Celebration’ ขึ้น โดยมีคณะทูตและภรรยา ตลอดจนแขกผู้มีเกียรติ อาทิ อรุโณชา ภาณุพันธุ์, ทรงวิทย์ จิรโศภิน,   ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ  ฯลฯ เข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ณ โรงแรมชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ เมื่อวานก่อน

ดร.พิสุทธิ์ เลิศวิไล กรรมการบริหาร บริษัท อีลีท ครีเอทีฟ จำกัด กล่าวถึงงานครบ 10 ปีในครั้งนี้ว่า อีลีท พลัสได้ร่วมแชร์สิ่งดีๆ ให้สังคม ชวนภาคีระดมทุนมอบให้กับมูลนิธิบราเดอร์ฮีแลร์ ช่วยเป็นสื่อกลางนำสิ่งที่ดีคืนสู่สังคม “เราภูมิใจในการบรรลุเป้าหมายและความสำเร็จของนิตยสารอีลีท พลัส ตั้งแต่ก่อตั้งมา ได้สร้างชุมชนของผู้อ่านและผู้สนับสนุน ผู้นำทางการเมืองเศรษฐกิจ และสังคม เพื่อปรับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงร่วมกับ ธนาคารกรุงเทพ ผู้สนับสนุนหลักบริจาครายได้จากงานนี้ให้กับมูลนิธิบราเดอร์ฮีแลร์ และมูลนิธิไอแคร์ ประเทศไทย ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสที่ต้องการความช่วยเหลือในด้านต่างๆ โดยได้ไทยเบฟเวอเรจ ให้การสนับสนุนงานในครั้งนี้ด้วย”

4. มอบทุนสนับสนุน 'มูลนิธิบราเดอร์ฮีแลร์'
2. คุณนิรมาณ ไหลสาธิตกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

สำหรับบรรยากาศภายในงาน สนุกสนานไปกับการแสดงศิลปะการต่อสู้ ‘มวยไทย’ อัตลักษณ์และมรดกของไทยที่ต่างชาติชื่นชม ไปพร้อมกับดื่มด่ำอาหารและเครื่องดื่มรสเลิศ ก่อนจะได้พบกับไฮไลต์ปาฐกถาประเด็นร้อนอย่าง ‘Sustainability: Think Globally, Act Locally’ โดย นิรมาณ ไหลสาธิต กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้ที่ตระหนักและให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการพยายามแก้ไขปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อม (Climate Change) ที่ส่งผลกระทบไปทุกภาคส่วน โดยไทยยังไม่บรรลุเป้าการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติปี 2025 ดังนั้นเราทุกคนต้องเร่งช่วยกัน เพื่อเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ในการขับเคลื่อนประเทศของเราไปข้างหน้าในทุกมิติ “Think Globally, Act Locally วลีที่ทำให้ตระหนักว่าทำสิ่งใดให้นึกถึงภาพรวมก่อน ภาคธุรกิจก็เช่นกัน ผู้ประกอบการไม่ว่าจะทำอะไรต้องคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการแสดงความรับผิดชอบและใส่ใจในทุกกระบวนการ ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ”

 

ประเด็นของบ้านเมืองในปี 2562 ดวงเมืองจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่หลายคนสนใจใคร่รู้ พอๆ กับปัญหาเศรษฐกิจเรื่องปากท้องของคนเรา ฟังและศึกษาไว้ไม่เสียหลาย เพื่อจะได้เตรียมตัวรับสถานการณ์ปีหน้า จับจ่ายใช้สอยอย่างไรถึงไม่เดือดร้อน ปี 2561 ที่ผ่านมาเรียกว่า “กระอัก” พอสมควร ส่วนปีหมูหรือปีกุน 2562 จะเป็น “หมูทอง” หรือ “หมูไฟ” ฟังคำทำนายจาก 3 โหรดังกันดีกว่า

เริ่มจาก “โสรัจจะ นวลอยู่” นักพยากรณ์ชื่อดัง ข้าราชการกรมชลประทาน ผู้ทำนายดวงเมืองดวงเศรษฐกิจไทยติดต่อกันมาหลายสิบปี ใน “ศาสตร์แห่งโหร” หนังสือของสำนักพิมพ์มติชน โสรัจจะทำนายว่าปีที่ผ่านมาว่าแย่แล้ว มาปีหมู 2562 ก็ยิ่งน้ำตาไหล เศรษฐกิจโลกในปีหมู 2562 ปีสุดท้ายของปีนักษัตร หากมองภาพรวมแล้วถือว่า “ตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์โลก” ก็ว่าได้

กล่าวคือเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรป คลอนแคลน ซวนเซ ธนาคารทั้งเล็กและใหญ่เริ่มล้มและปิดตัวเองลงถาวร ตลาดหุ้นถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก สำหรับประเทศไทย บอกเลยว่าเป็น “ปีแห่งความล้มละลายทางเศรษฐกิจ” ไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้ ประชาชนอดอยาก ธุรกิจสับสน คนว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือคนถูกปลดออกจากงานหลายแสนคน ธนาคารพาณิชย์และธนาคารรัฐทั้งเล็กและใหญ่ได้รับผลกระทบ แต่ละแห่งเกิดการแตกแยก ธนาคารของรัฐไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจฟื้นขึ้นมาได้ รวมถึงตลาดหุ้นด้วย ถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก มีคนฆ่าตัวตาย ถือว่าเป็นปีแห่ง “เศรษฐกิจเลือด” เลยทีเดียว

โสรัจจะทำนายว่าเศรษฐกิจภายในประเทศไทย ยังไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เพราะเป็นผลมาจากเศรษฐกิจทั่วโลกประสบปัญหา เนื่องจากขาดแคลนน้ำมัน ปี 2562 จะเป็นปีที่คนไทยเดือดร้อนหนักยิ่งกว่าปี 2561 เกิดโจรขโมย ปล้น ฆ่า เพื่อความอยู่รอดและหาอาหารประทังชีวิต ภาครัฐเองซ้ำเติมด้วยการขึ้นค่าสาธารณูปโภคทุกรูปแบบ ยังมีการตกลงซื้อขายรัฐวิสาหกิจบางแห่ง ทำให้เกิดการประท้วงและลุกลามเป็นการชุมนุมใหญ่ เกิดเป็นการจราจลในที่สุด คำทำนายนี้ฟังแล้วจะตกอกตกใจกันได้ คิดเสียว่าเป็นการเตือนกันล่วงหน้า ส่วนความเป็นจริงจะเป็นอย่างไร ตรงกับคำทำนายหรือไม่ ก็ต้องรอดูกันต่อไป

ถัดมาโหรอีกคนมีชื่อเสียงคู่เคียงกันมา เป็นผู้เชี่ยวชาญการวางฤกษ์ และยังเป็นผู้บรรยายวิชาโหราศาสตร์ไทย “พัฒนา พัฒนศิริ” ชี้ไว้ในคำทำนายสำหรับปีหมูป่า ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2562 ถ้ามองกันอย่างหยาบๆ ก็ไม่น่าจะมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ หรือความหวาดวิตกใดๆ ทั้งสิ้น แต่เมื่อวิเคราะห์เจาะลึกลงไป โดยใช้ดวงเมืองและดาวที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจการเงินบางดวง ก็พอจะเห็นได้ว่า สภาพเศรษฐกิจของไทยเรา จะอยู่ใสภาพที่มีความอ่อนไหว เปราะบาง จำเป็นต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

โหรพัฒนาบอกว่า สภาพความเป็นไปของเศรษฐกิจภายในประเทศ จะตกอยู่ภายใต้ความมึนงง ไม่รู้จะเดินไปทางซ้ายหรือขวา หน้าหรือหลังถึงจะดี ผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจแม้จะรวมหัวประชุมกันอย่างเคร่งเครียด ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ก็ยังหามาตรการที่เหมาะๆ มารับมือกับสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังง่อนแง่นโอนเอนไม่ได้ ธุรกิจการค้า การเครดิต ฯลฯ ตกอยู่ในสภาพอกสั่นขวัญหายกันทั่วหน้า ธนาคารแทบจะไม่ปล่อยเงินกู้ พ่อค้าพาณิชย์หรือประดานายทุนชักหน้าเสีย ใจคอไม่ดี “อยากจะเตือนว่าอะไรจะเกิดย่อมต้องเกิด แต่คนเราต้องมีสติให้มั่นคง..”

บางธุรกิจอาจจะตกอยู่ในสภาพต่างๆ กันไป ในกรณีที่ดาวบาปเคราะห์เสาร์กับดาวราหูเข้าย่ำยีดาวหลักทรัพย์ในพื้นดวงเเมือง จึงมีธุรกิจเด่นที่อยู่ในสถานการณ์คับขัน ดังนี้

“ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” จะได้รับผลกระทบกระเทือนโดยถ้วนทั่วกัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านจัดสรรโครงการต่างๆ ทาวน์เฮ้าส์ อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม รวมถึงตึก อาคารพาณิชย์ ต่างตกอยู่ในสภาพเจียนอยู่เจียนไป ด้วยเพราะสภาวะการเงินไม่สะพัดหมุนเวียน มีที่มีทางก็ขายไม่ออก

ต่อมาเป็น “ธุรกิจการขนส่ง” ที่พลอยแย่ไปด้วย เพราะเมื่ออสังหาฯ เริ่มทรุดก็จะเป็นตัวดึงให้หลายอย่างระส่ำระสายไปตามๆ กัน ที่เคยจะส่งนั่นนี่มากมายก่ายกอง ตอนนี้ต้องตั้งสติให้มั่นคง ที่สำคัญคนสั่งซื้อ คนสั่งขาย ลดจำนวนลงไปแทบทุกวัน

ส่วน “ธุรกิจอาหาร การบันเทิง” โหรพัฒนาบอกว่าพอจะอยู่ได้ แต่ต้องเป็นประเภทที่สนนราคาไม่สูงเกินไปนัก เพราะยังไง คนเราก็ต้องกินอยู่ดี แต่ไม่ฟู่ฟ่าเหมือนหลายปีที่ผ่านมา

อีกธุรกิจเป็น “ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง” จะเป็นไปอย่างเรื่อยๆ เอื่อยๆ เพราะจำนวนคนใช้บริการเริ่มลดน้อยถอยลงไป เป็นการสร้างขึ้นมาแล้วแต่ไม่มีคนซื้อ ไม่มีคนเช่า ธนาคารทวงเช้าทวงเย็น ส่วนสภาวการณ์ของตลาดหุ้นยังพออาศัยไหว้วานได้เป็นอันดี หรือค่อนข้างดีในเวลานี้ ขณะนี้ แต่พอวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นไป สภาพตลาดหุ้นตลาดทุนจะได้รับแรงสั่นสะเทือนจากวิกฤตเศรษฐกิจไปด้วย “…คนเล่นหุ้นลดน้อยลง ช่วงเทศกาลปีใหม่เห็นคนเข้าตลาดหุ้นกันคึกคัก แต่ยังไม่กล้าซื้อกล้าขาย ยังเซ็งๆ ส่วนเดือนมีนาคม ราคาหุ้นจะไม่ขยับเขยื้อนกระทั่งไปถึงเดือนพฤษภาคม ตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวลงอีกรอบ…” เป็นคำเตือนแบบเบาๆของโหรพัฒนา

อีกหนึ่งโหราจารย์ที่ขาดไม่ได้ในการทำนายทายทัก “บุศรินทร์ ปัทมคม” อดีตข้าราชการสังกัดกรมอาชีวศึกษา และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีปี 2520 บอกเล่าคำทำนายเศรษฐกิจไทยในปีกุนหลังจากบวกลบคูณหารบนกระดานโหรแล้ว ว่าปีกุนสถานการณ์เศรษฐกิจยังคงหยักหน่วง ปี 2561 ว่าหนักแล้ว มาเจอปี 2562 ยิ่งจะหนักขึ้นไปอีก คนยากจนอยู่แล้วก็จะจนเพิ่มขึ้นไปอีก และจำนวนคนยากจนเองก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ถ่างช่องว่างระหว่างคนจนคนรวยให้กว้างออกไปจนรัฐบาลหมดหนทางจะแก้ได้

ฟังคำพยากรณ์ของสามโหราจารย์แล้ว พอสรุปได้ว่าปีหน้า 2562 ปีนักษัตรกุน ยังเป็นปีที่ต้องระมัดระวังรักษาเนื้อรักษาตัวในการใช้จ่ายเงินทอง อันไหนประหยัดได้ก็จงประหยัด ไม่สุรุ่ยสุร่าย คงพอประคองเอาตัวรอดให้พ้นปีไปได้ อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นเพียงคำพยากรณ์ จริงเท็จอย่างไรฟังหูไว้หู ขนาดโหรด้วยกันยังว่า “หมอดูคู่หมอเดา” เพราะฉะนั้นอย่าเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์