ธัชชัย ยอดพิชัย
ภาพจิตรกรรมฝาผนังบริเวณผนังสกัดหน้าด้านขวามือเหนือประตูพระอุโบสถวัดกัลยาณมิตร หากดูเผินๆ ก็เป็นเพียงภาพแสดงวิถีชีวิตชาวจีนในเรือนแพริมสายน้ำ และชาวไทยในบ้านเรือนไทย แต่หากมองดูให้ดีแล้วจะเห็นว่านี่ คือ ภาพวาดเล่าเหตุการณ์คดี “ลักเด็ก” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่หลักฐานที่พบว่ากล่าวถึงเหตุการณ์ระทึกนี้กลับเป็นหลักฐานในสมัยของรัชกาลที่ 4 โดยหลักฐานที่ว่านี้ก็คือ ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4
“ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 : ประกาศห้ามไม่ให้เอาเครื่องประดับทองเงินแต่งกายให้เด็ก ที่ยังไม่รู้จักหลีกหลบโจรผู้ร้าย”
“…เด็กๆ ที่แต่งตัวด้วยทองเงินแล้ว ไม่อยู่บนเรือนในบ้านมีผู้ดูแลระวังรักษา ปล่อยให้เที่ยววิ่งไปมาตามถนนหนทางนอกบ้านนอกเรือน มีผู้ร้ายจับตัวไปได้ฆ่าเสียแล้ว ของก็ต้องเสีย เด็กก็ต้องตาย อย่างนี้ในแผ่นดินก่อนที่ล่วงมาก็มีมากไม่รู้ว่ากี่เรื่องกี่รายในกรุงบ้างหัวเมืองบ้าง…”
ข้อความหลังสุดที่ยกมานี้ กล่าวถึงเหตุการณ์การลักเด็กเพื่อเอาของมีค่าซึ่งน่าจะเกิดขึ้นอยู่บ่อย
ครั้งในสมัยรัชกาลที่ 3 และดูเหมือนว่าจะมีอยู่อย่างต่อเนื่องมาถึงในสมัยของรัชกาลที่ 4 ดังที่เห็นว่าได้มีการออกประกาศรัชกาลที่ 4 ห้ามสวมเครื่องประดับทองเงินให้กับเด็ก ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคาดว่าการออกประกาศครั้งนั้นคงไม่ช่วยบรรเทาเหตุการณ์นี้ลงเท่าไหร่ เพราะต่อมาได้มีการออกประกาศฉบับที่ 2 ในเรื่องเดียวกันอีกครั้ง โดยในคราวนี้ได้มีการเน้นย้ำถึงผลบังคับใช้มากขึ้นจนถึงกับมีการเรียกโจรผู้ร้ายว่า “อ้ายยักษ์อียักษ์” ดังในข้อความตอนที่ว่า
“…ทุกวันนี้ชาวบ้านชาวเมืองพอใจอยากอวดว่ามั่งมี ทำเครื่องทองเงินแต่งตัวให้เด็กๆแล้วปล่อยให้เที่ยวอยู่ตามลำพัง ในน้ำในบกตามถนนหนทางด้วยความเลินเล่อไม่มีใครระวังระไว จึงมีอ้ายผู้ร้ายมาลอบลักพาเด็กไปฆ่าเสีย แล้วเก็บเอาของเด็กไปดังนี้เนืองๆ ไม่ใคร่ขาดปีแลเดือน คนอยากอวดมั่งมีก็ไม่ฟัง ยังขืนแต่งเด็กด้วยเครื่องทองเครื่องเงิน เป็นเหยื่อล่ออ้ายยักษ์อียักษ์ให้กินเด็กเสียไม่ว่างวายปีเดือน เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้สืบไปห้ามไม่ให้ผู้ใดคือบิดามารดาแลญาติพี่น้องทำของแต่งตัวเด็กๆ ซึ่งเป็นบุตรหลานเหลนแลบุตรเลี้ยงหลานเลี้ยงหรือเป็นทาสด้วยเครื่องทองเครื่องเงินทำเป็นรูปพรรณอย่างหนึ่งอย่างใดผูกติดแลสวมไว้กับตัวเด็กเป็นที่ล่อผู้ร้ายแล้วปล่อยให้เที่ยวไปตามลำพัง ไม่มีผู้ระวังรักษา”
ในประกาศฉบับที่ 2 นี้นอกจากจะห้ามไม่ให้สวมเครื่องเงินเครื่องทองให้เด็กแล้ว ก็ยังสั่งให้นำตัวเด็กที่พบว่ามีเครื่องเงินเครื่องทองติดตัวอยู่ในขณะที่ไม่มีผู้ดูแล มาส่งให้นายอำเภอพระนครบาล หรือจะถอดเอาแต่เครื่องเงินเครื่องทองของเด็กมาส่งให้ก็ได้โดยห้ามทุบตีทำร้ายเด็ก ทั้งนี้กรมพระนครบาลจะปรับไหมผู้ปกครอง โดยให้จ่ายเงินเป็นจำนวนเท่ากับมูลค่าของสิ่งของเพื่อเป็นการไถ่ตัวเด็กกลับไป
อย่างไรก็ตาม หากภายหลังจากออกประกาศนี้ไปแล้วพบว่าไม่มีใครกล้าจับตัวเด็กมาให้ รัชกาลที่ 4 ก็จะทรงแต่งตั้งคนออกไปจับเอง ในขณะเดียวกันหากจับเด็กมาได้แล้วแต่ไม่มีใครเอาเงินมาไถ่ตัวเด็ก ก็จะยึดเด็กเอาไว้เป็นไพร่หลวง ถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็จะให้ฝึกหัดโขน ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงก็ให้ฝึกละครหลวง ดีกว่ายอมให้ผู้ร้ายเอาไปฆ่าแกงเสียประโยชน์เปล่าๆ
อัพเดตเรื่องราวทัวร์ศิลปวัฒนธรรม ได้ที่ เพจเฟซบุ๊กทัวร์มติชนอคาเดมี