เที่ยวเวียดนาม บาน่าฮิลล์ และ พระราชวังไดโน้ย
สำนักงานท่องเที่ยวเวียดนาม(ททท.เวียดนาม) แจ้งว่าปัจจุบันล่าสุดประเทศเวียดนามปรับนโยบายด้านสาธารณสุข เป็นการอยู่ร่วมกับโควิด-19 โดยประชากรชาวเวียดนามกว่า 80.2% ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว เกินกว่าเป้าที่ทางการตั้งไว้ที่ 70% และประชากรมากกว่าครึ่งได้รับการฉีด
วัคซีนบูสเตอร์โดสเรียบร้อยแล้วเช่นกัน โดยที่ผ่านมาได้ปรับลดมาตรการการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว ชาวอาเซียนสามารถเดินทางเข้าเวียดนามในรูปแบบ free visa (ไทย 30 วัน) โดยต้องแสดงเอกสารการฉีดวัคซีนครบโดส มีผลตรวจ RT-PCR เป็นลบภายใน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง หรือมีผลการตรวจ ATK แบบ professional use เป็นลบภายใน 24 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง และเมื่อเดินทางถึงเวียดนามต้องโหลดแอปพลิเคชั่นติดตามตัว
ปัจจุบันบรรยากาศการเดินทางในประเทศเวียดนามเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าเวียดนามราว 90,000-100,000 คน เป็นนักท่องเที่ยวจากทวีปเอเชีย 58,945 คน, ยุโรป 16,635 คน, อเมริกา 12,294 คน (ในปี 2562 มีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางเข้าเวียดนามราว 5 แสนคน)
สำหรับการเดินทางระหว่างประเทศไทยกับเวียดนาม ขณะนี้มีสายการบินที่ทำการบินเส้นทางระหว่างไทย-เวียดนาม ทั้งหมด 5 สายการบิน คือ….
- เวียดนามแอร์ไลน์ส เส้นทางโฮจิมินห์-กรุงเทพฯ, ฮานอย-กรุงเทพฯ สายการบินแบมบู แอร์เวย์ส เส้นทางโฮจิมินห์-กรุงเทพฯ
- สายการบินไทยสมายล์ เส้นทางกรุงเทพฯ-โฮจิมินห์, กรุงเทพฯ-ฮานอย สายการบินไทยแอร์เอเชีย เส้นทางกรุงเทพฯ-โฮจิมินห์, กรุงเทพฯ-ฮานอย และกรุงเทพฯ-ดานัง (เริ่ม 1 พฤษภาคม)
- สายการบินเวียตเจ็ทแอร์ เส้นทางโฮจิมินห์-กรุงเทพฯ, ดานัง-กรุงเทพฯ, ฮานอย-กรุงเทพฯ รวมทุกสายการบินปัจจุบันให้บริการทั้งสิ้น 52 เที่ยวบินต่อสัปดาห์
แนะนำ 2 ที่เที่ยว 2 สไตล์
แรกเลยแบบโบราณ ขรึมขลังได้บรรยากาศของการย้อนกลับไปสู่อดีต
นั่นคือ “พระราชวังไดโน้ย” หรือ Dai Noi ในภาษาอังกฤษ พระราชวังสุดท้ายของเวียดนามก่อนล่มสลาย และองค์การยูเนสโกยกให้เป็นมรดกโลก สร้างตามความเชื่อแบบจีนโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง ได้ต้นแบบมาจาก “พระราชวังกู้กง” หรือ “พระราชวังต้องห้าม” ที่ยิ่งใหญ่ของกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน การก่อสร้างพระตำหนักต่างๆ รวมถึงกำแพงรอบพระราชวังทั้งหมดเป็นอิฐที่นำมาจากประเทศฝรั่งเศสโดยทางเรือ
พระราชวังไดโน้ย มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ล้อมรอบด้วยคูน้ำขนาดใหญ่ทั้งสี่ด้าน (คล้ายกับพระราชวังสวนจิตรลดา) มีกำแพงอิฐขนาดใหญ่ถึง 3 ชั้น กำแพงชั้นนอกมีความยาวตลอดแนว 11 กิโลเมตร หรือยาวด้านละ 2.5 กิโลเมตร สูง 6 เมตร หนา 2 เมตร มี 11 ประตู มี 24 ป้อมปราการ เนื้อที่ประมาณ 5 ตารางกิโลเมตร
พระราชวังแห่งนี้ใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์ใน “ราชวงศ์เหงียน” มาทุกพระองค์ ตั้งแต่จักรพรรดิยาลอง องค์ที่ 1 จนถึงจักรกรพรรดิเบ่าได๋ กษัตริย์องค์สุดท้าย องค์ที่ 13 ซึ่งทรงสละอำนาจให้กับรัฐบาลของประธานาธิบดีโงดินห์เดียม เมื่อปี พ.ศ. 2488 (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 8 ของราชวงศ์จักรี)
พระราชวังไดโน้ย ตั้งอยู่ที่ “เว้” เมืองเล็กๆ ตอนกลางของประเทศ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม ไม่ไกลจากทะเลจีนใต้ ห่างจากกรุงฮานอยไปทางใต้ประมาณ 540 กิโลเมตร เมื่อหลายร้อยปีก่อนเว้อยู่ในการปกครองของขุนนาง
เหวียนฮวาง (Nguyen Hoang) ราชวงศ์เล คนไทยรู้จักในนาม “องเชียงสือ”
แต่ปกครองได้ไม่นานก็เกิดสงครามแบ่งแยกดินแดนขึ้น เหวียนฮวางปราบกบฏลงและรวบรวมดินแดนทางตอนเหนือและใต้เข้าด้วยกัน พร้อมกับสถาปนาตนเองขึ้นเป็น “จักรพรรดิยาลอง” แห่งราชวงศ์เหวียน มีเมืองหลวงอยู่ที่เว้
แต่หลังจากพระเจ้ายาลองปกครองเว้ได้เพียง 33 ปี ฝรั่งเศสก็บุกเข้าโจมตีเมืองเว้ เกิดสงครามหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งจักรพรรดิเบ่าได๋สละราชสมบัติ เมืองเว้จึงเป็นจุดต้นเริ่มต้นของราชวงค์เหวียนและเป็นราชธานีสุดท้ายของราชวงศ์เหวียนเช่นกัน
ถึงแม้ว่าเมืองเว้จะได้รับความเสียหายจากภัยสงคราม แต่ก็ยังคงหลงเหลือร่องรอยแห่งความรุ่งเรืองของนครจักรพรรดิอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่พระราชวัง สุสานจักรพรรดิ โบราณสถานอันทรงคุณค่า และวัฒนธรรมที่มีแบบฉบับเป็นของตนเอง ยูเนสโกจึงประกาศขึ้นทะเบียนให้เมืองเว้ของเวียดนามเป็น “เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม” เมื่อ พ.ศ. 2536
พระราชวังไดโน้ย มีพื้นที่ถึง 52 ตารางกิโลเมตร เนื่องจากยึดรูปแบบการก่อสร้างจากพระราชวังกู้กงที่กรุงปักกิ่งทุกประการ ดังนั้น พระราชวังไดโน้ยจึงมีอีกชื่อว่า พระราชวังต้องห้ามแห่งเวียดนาม ตำหนักสำคัญที่สุดในพระราชวังแห่งนี้ คือ ตำหนักไทฮวา (Thai Hoa) เพราะเป็นตำหนักสำหรับประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของกษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์เหวียน และยังเป็นท้องพระโรงขนาดใหญ่ใช้ออกว่าราชการ ซึ่งในสมัยนั้นการเข้าเฝ้าจะเป็นเวลากลางคืนเท่านั้น คือช่วงเวลาตี 2 ถึง ตี 4 ส่วนคำว่า “ไทฮวา” มาจากคำว่า “ไทเหอ” ภาษาจีนกลางแปลว่า การรวมเป็นหนึ่ง ชื่อนี้ยังเป็นชื่อตำหนักสำคัญที่สุดในพระราชวังต้องห้ามของกรุงปักกิ่งด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้รับอิทธิพลจากพระราชวังต้องห้ามของจีน แต่งานสถาปัตยกรรมรวมถึงรูปทรงอาคารบางอย่างไม่พบมาก่อนในปักกิ่ง แต่พบในจีนตอนใต้ คือการใช้กระเบื้องตัดมาประดับเป็นรูปต่างๆ บนหลังคา รวมถึงลักษณะของหลังคาที่โค้งงอนอย่างมาก ความสวยงามของพระราชวังแห่งนี้คู่ควรอย่างยิ่งที่ต้องไปดูด้วยตัวเอง
ถัดมาเป็นสไตล์ชิลๆ สบายๆ ถ่ายรูปสวยๆ นั่นคือ บาน่าฮิลล์ (Ba Na Hills) เมืองฝรั่งเศสแสนสวยในหุบเขาสูง บรรยากาศเหมือนได้ไปเที่ยวยุโรปกันเลยทีเดียวเพราะอุณหภูมิของที่นี่ไม่เกิน 20 องศา ไม่ว่าฤดูไหน
บานาฮิลล์ ตั้งอยู่ที่เมืองดานัง ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญของเวียดนามกลางเช่นเดียวกับเว้ แต่อยู่ตอนใต้ริมชายฝั่งทะเลจีนใต้ ห่างจากตัวเมืองดานังประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของเวียดนามก่อนปิดประเทศช่วงโควิด ปัจจุบันเวียดนามเปิดประเทศแล้ว บาน่าฮิลล์ก็ยังเป็นที่เที่ยวยอดฮิตอยู่เช่นเดิม ด้วยเพราะอากาศที่ดี เย็นสบาย มีมุมถ่ายรูปสวยๆ เต็มไปหมด เหมือนหลุดไปอยูในปราสาทของฝรั่งเศส
ในอดีต บานาฮิลล์เคยเป็นสถานที่ตากอากาศของชาวฝรั่งเศสในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการสร้างบ้านพัก โรงแรมในสไตล์ฝรั่งเศสขึ้นในสมัยที่เป็นอาณานิคมตั้งแต่ปี ค.ศ.1919 และหลังฝรั่งเศสพ่ายแพ้สงคราม และกลับประเทศไป ทำให้บานาฮิลล์ถูกทิ้งร้าง ทางการเมืองดานังได้บูรณะเป็นเมืองท่องเที่ยวในปี ค.ศ.2009 พร้อมสร้างกระเช้าลอยฟ้าสำหรับเดินทางขึ้นไปบนเขาที่ตั้งบาน่าฮิลล์ ระยะทางห้าพันกว่าเมตรและต้องใช้เวลาถึง 50 นาทีในการนั่งกระเช้า สามารถไปเที่ยวแบบไปเช้ากลับเย็นก็ได้ หรือจะค้างคืนด้านบนก็ได้
มุมยอดฮิตบนบาน่าฮิลล์ ก็คือ Golden Bridge หรือ “สะพานมือยักษ์ “ ที่สูงเหนือเมฆนั่นเอง เมื่อก่อนคนเยอะมากถ่ายรูปไม่สวย แต่ตอนนี้สบายมาก ไม่ติดคนเยอะ สวยอลังการไม่ควรพลาดที่จะไปเยือนจริงๆ
อัพเดตเรื่องราวทัวร์ศิลปวัฒนธรรม ได้ที่ เพจเฟซบุ๊กทัวร์มติชนอคาเดมี