วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566 (1) | |
07.30 น. | คณะเดินทางพร้อมกันที่ท่าอากาศยานดอนเมือง อาคารผู้โดยสาร 2 (Terminal 2) ชั้น 3 ประตูทางเข้าหมายเลข 14-15 สายการบินนกแอร์ โดยมีเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ พร้อมอำนวยความสะดวกเช็คสัมภาระแก่ท่าน |
09.40 น. | ออกเดินทางสู่ท่าอากาศยานหาดใหญ่ โดยสายการบินนกแอร์ เที่ยวบินที่ DD 502 |
11.05 น. | ถึง ท่าอากาศยานหาดใหญ่ นำสัมภาระของท่านขึ้นรถโค้ชปรับอากาศ จากนั้นนำท่านเดินทางเข้าสู่ จ.ปัตตานี |
12.00 น. | รับประทานอาหารกลางวัน ที่ร้านเนินขุมทองการ์เด้น |
13.00 น. | เดินทางไปยัง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี |
15.00 น. | ถึง เมืองโบราณยะรัง เป็นชุมชนโบราณเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของรัฐโบราณที่มีชื่อว่า “ลังกาสุกะ” หรือลังหยาสิ่ว ตามที่มีหลักฐานปรากฎในเอกสารของจีน ชวา มลายูและอาหรับ สันนิษฐานว่าที่นี่อาจเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 จากนั้นพัฒนามาเป็นศูนย์กลางศาสนาพุทธมหายานในสมัยพุทธศตวรรษที่ 14-16 และกลับมาเจริญอีกครั้งในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19 ชมกลุ่มโบราณสถานบ้านจาเละ โบราณสถานที่สร้างขึ้นเนื่องในพุทธศาสนามหายานที่นิยมสร้างสถูปเพื่อเป็นศาสนสถานและพุทธบูชา สันนิษฐานสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 จนช่วงพุทธศตวรรษที่ 15-16 ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้อีกครั้ง ถือเป็นสถูปเนื่องในพุทธศาสนามหายานที่เก่าที่สุดในประเทศไทย และเป็นแหล่งที่กำหนดขอบเขตพุทธสถานด้วยคูน้ำหรืออุทกสีมาเก่าแก่ที่สุดที่พบในประเทศไทยอีกด้วย |
16.00 น. | เดินทางไปยัง อ.เมืองปัตตานี จ.ปัตตานี |
16.30 น. | ถึง ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หรือศาลเจ้าเล่งจูเกียง เป็นศาลเจ้าเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของปัตตานีมาตั้งแต่โบราณ โดยมีหลักฐานที่จารึกอยู่ภายในในศาลกล่าวว่า ศาลแห่งนี้ตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2117 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา พร้อมฟังตำนานของ “เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนกับผู้คนในภูมิภาคนี้” |
17.10 น. | เดินทางไปยัง มัสยิดกรือเซะ |
17.30 น. | ถึง มัสยิดกรือเซะ มัสยิดเก่าแก่ที่สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 22 ร่วมสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยมีจุดเด่นคือการเป็นมัสยิดยังสร้างไม่เสร็จ ทั้งยังมีตำนานการสร้างที่เกี่ยวข้องกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวอีกด้วย จากนั้นพาท่านเดินไปชมสุสานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่ตั้งอยู๋ใกล้เคียงกัน |
18.45 น. | รับประทานอาหารเย็น ที่ร้านบ้านเล Seafood & Café |
20.00 น. | เข้าพักที่ โรงแรม ซี.เอส.ปัตตานี*** หรือเทียบเท่า จากนั้นให้ท่านพักผ่อนตามอัธยาศัย |
วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม 2566 (2) | |
06.30 น. | รับประทานอาหารเช้า |
07.30 น. | เดินทางไปยัง มัสยิดรายอปัตตานี |
07.45 น. | ถึง มัสยิดรายอปัตตานี เดิมเป็นมัสยิดแห่งรัฐปัตตานี เริ่มก่อสร้างในรัชสมัยของสุลต่านมูฮัมหมัด หรือตนกูบือซาร์ เพื่อเป็นมัสยิดประจำพระราชวัง เดิมเป็นอาคารไม้ สร้างในเขตรั้ววัง ต่อมาได้ย้ายมาสร้างเป็นอาคารถาวร ณ ที่ปัจจุบัน ต่อมามีการขยายอาคารในส่วนที่เป็นอิฐเพิ่มเติม พร้อมทั้งได้ประดับลวดลายภายในด้วยไม้แกะสลัก มัสยิดแห่งนี้จึงมีความโดดเด่นในรูปแบบสถาปัตยกรรมมลายูปาตานี |
08.15 น. | เดินทางไปยัง มัสยิดกลางปัตตานี |
08.20 น. | ถึง มัสยิดกลางปัตตานี สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2497 และทำพิธีเปิดโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2506 เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการประกอบศาสนกิจของชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก โดยมีรูปทรงคล้ายกับทัชมาฮาลของอินเดีย ถือเป็นมัสยิดที่สวยงามและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย |
08.50 น. | เดินทางไปยัง สุสานพญาอินทิรา |
09.05 น. | ถึง สุสานพญาอินทิรา ที่ฝังพระศพของพญาอินทิราหรือสุลต่าน อิสมาอีล ชาห์ กษัตริย์ปัตตานีพระองค์แรกที่เปลี่ยนจากศาสนาพุทธมานับถือศาสนาอิสลาม อีกทั้งได้ทรงสถาปนาเมืองปัตตานีขึ้นเป็น “นครปาตานีดารุลสลาม” พร้อมทั้งพัฒนาบ้านเมืองให้เข้มแข็ง และยังมีการหล่อปืนใหญ่ขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อใช้ในการป้องกันเมืองตามแบบฉบับของเมืองขนาดใหญ่ในยุคนั้น จากนั้นเข้าชม สุสานราชินี 3 พี่น้อง ที่ฝังพระศพของกษัตรีย์แห่งปัตตานีถึงสามพระองค์ ได้แก่ รายาฮีเยา, รายาบีรู และรายาอูงู โดยทั้ง 3 พระองค์ เป็นธิดาของสุลต่านมันศูร ซาห์ ซึ่งในรัชสมัยของพระนางทั้งสามนี้ ได้ทำให้ปัตตานีมีความเจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องยาวนานและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ในฐานะเมืองท่าค้าขาย รวมทั้งมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับนานาชาติ |
10.05 น. | เดินทางไปยัง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี |
10.20 น. | ถึง วังยะหริ่ง สร้างในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสุรสงคราม เจ้าเมืองยะหริ่งคนที่ 3 ตัววังมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเฉพาะตัวด้วยการผสมผสานกันระหว่างศิลปะไทยมุสลิม จีน และยุโรป พร้อมฟังเรื่องราว “ยุคปัตตานี 7 หัวเมือง” ซึ่งรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้แยกเมืองปัตตานีออกเป็น 7 หัวเมือง แล้วต้องส่งเครื่องราชบรรณาการ ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ให้แก่ทางสยาม 1 ครั้ง ในทุกๆ 3 ปี |
11.10 น. | เดินทางไปยัง จ.นราธิวาส |
12.30 น. | รับประทานอาหารกลางวัน ที่ร้านมังกรทอง |
13.30 น. | เดินทางไปยัง อ.ตากใบ จ.นราธิวาส |
14.40 น. | ถึง วัดชลธาราสิงเห วัดแห่งนี้มีส่วนเกี่ยวพันกับกรณีแบ่งแยกดินแดนระหว่างสยามกับหัวเมืองมลายู ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษในขณะนั้น จึงทำให้รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า “วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย” ชมพระอุโบสถศิลปะแบบรัตนโกสินทร์ ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนโดยพระภิกษุชาวสงขลา ซึ่งแทรกวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ในอดีตเอาไว้ จากนั้นชมพลับพลาที่ประทับ ซึ่งรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสำหรับประทับทอดพระเนตรการแข่งเรือยาว, กุฏิอดีตเจ้าอาวาส อาคารไม้ 2 ชั้น มีหลังคาทรงปั้นหยา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมพื้นบ้านภาคใต้, พระพุทธไสยาสน์ที่ประดับด้วยกระจก ส่วนที่ฐานและผนังด้านหลังประดับด้วยเครื่องถ้วยที่ดูสวยงามเป็นเอกลักษณ์ และกุฏิสิทธิสารประดิษฐ์ ที่ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ของทางวัด |
15.40 น. | เดินทางไปยัง อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส |
16.40 น. | ถึง มัสยิดตะโละมาเนาะ เป็นมัสยิดเก่าแก่อายุกว่า 300 ปี ที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานกันระหว่างมลายู ไทย และจีน มีลักษณะเป็นอาคาร 2 หลังต่อกัน สร้างด้วยไม้ตะเคียนทั้งหลัง มีการใช้ไม้สลักแทนตะปูทั้งหลัง ด้วยเอกลักษณ์ทำให้มัสยิดแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นมัสยิดที่มีความงดงามและเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลกมลายู |
17.10 น. | เดินทางไปยัง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี |
17.40 น. | ถึง วังพิพิธภักดี เดิมเป็นที่อยู่ของพระพิพิทธภักดี (ตนกูมุกดา อับดุลบุตร) บุตรชายคนโตของเจ้าเมืองยะหริ่ง กับตนกูกูซง หลานสาวของเจ้าเมืองสายบุรี (พระยาสุริยะสุนทรบวรภักดี) สถาปัตยกรรมของที่นี่แสดงถึงการผสมผสานกันระหว่างศิลปกรรมของท้องถิ่นกับศิลปะตะวันตกได้อย่างกลมกลืนงดงาม พร้อมฟังเรื่องราว “เมืองสายบุรี เมืองท่าที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่อดีตของปัตตานี” |
18.30 น. | เดินทางกลับ อ.เมืองปัตตานี จ.ปัตตานี |
19.30 น. | รับประทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารของโรงแรม ซี.เอส.ปัตตานี*** หรือเทียบเท่า |
20.30 น. | ให้ท่านพักผ่อนตามอัธยาศัย |
วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม 2566 (3) | |
07.00 น. | รับประทานอาหารเช้า |
08.00 น. | เดินทางไปยัง อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี |
08.35 น. | ถึง วัดช้างให้ราษฎร์บูรณาราม หรือเดิมชื่อวัดช้างให้ นำทุกท่านกราบสักการะ “สมเด็จพระโคะ” หรือหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด พระอริยะสงฆ์ผู้เป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยตามตำนานกล่าวว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดแห่งนี้ |
09.30 น. | เดินทางสู่ จ.ยะลา |
10.00 น. | ถึง วัดคูหาภิมุข เดิมชื่อว่า วัดหน้าถ้ำ พาทุกท่านเดินขึ้นสู่ถ้ำคูหาภิมุขเพื่อสักการะ พระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ที่ปั้นด้วยดินเหนียวโดยใช้ไม่ไผ่เป็นโครง สันนิษฐานว่าองค์ดั้งเดิมอาจมีอายุเก่าแก่ถึงวัฒนธรรมศรีวิชัย พร้อมชมพระพุทธรูปเก่าแก่ที่ประดิษฐานภายในถ้ำท่ามกลางหินงอก หินย้อย จากนั้นชมพิพิธภัณฑ์ศรีวิชัย สถานที่เก็บและจัดแสดงโบราณวัตถุที่ขุดค้นได้จากถ้ำต่างๆ ในบริเวณบนวัดและภูเขาใกล้เคียง เช่น พระพิมพ์ดินดิบ สถูป เม็ดพระศก และอิฐฐานพระพุทธรูป เป็นต้น |
12.00 น. | รับประทานอาหารกลางวัน ที่ร้านธารา |
12.00 น. | เดินทางสู่ อ.เบตง จ.ยะลา |
16.00 น. | ถึง วัดพุทธาธิวาส ตั้งอยู่บนเนินเขาในเมืองเบตง ชมพระมหาธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ เป็นพระธาตุเจดีย์แบบศรีวิชัยประยุกต์ สูง 39.90 เมตร หรือขนาดเท่าตึก 13 ชั้น สร้างขึ้นจากความคิดและการดำเนินการของอดีตประธานศาลฎีกา นายสวัสดิ์ โชติพานิช เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวโรกาสพระชนมายุครบ 60 พรรษา จากนั้นให้ท่านได้สักการะพระพุทธธรรมกายมงคลประยุรเกศานนท์สุพพิธาน พระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย |
17.00 น. | พาท่านชม อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ เป็นอุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาแห่งแรกของประเทศไทย โดยสร้างจากคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาดกว้าง 9 เมตร สูง 7 เมตร และมีความยาวตลอดอุโมงค์ระยะทางประมาณ 273 เมตร จากนั้นชมหอนาฬิกาเบตง สร้างขึ้นมาจากหินอ่อนของ จ.ยะลา ถือจุดแลนด์มาร์คใจกลางเมืองตั้งอยู่อย่างโดดเด่น และตู้ไปรษณีย์สูง-ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2467 ลักษณะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก มีเส้นวงรอบของตู้ประมาณ 140 เซนติเมตร มีความสูง 290 เซนติเมตร |
18.30 น. | รับประทานอาหารเย็น ที่ร้านต้าเหยิน |
20.00 น. | เข้าพักที่ โรงแรมแกรนด์แมนดารินเบตง*** หรือเทียบเท่า จากนั้นให้ท่านพักผ่อนตามอัธยาศัย |
วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 (4) | |
05.00 น. | นำคณะเดินทางสู่ ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา |
06.00 น. | ให้ท่านสัมผัสกับ ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง จุดชมวิวทะเลหมอกยอดนิยมของเมืองเบตง และมีทะเลหมอกให้ชมได้ตลอดทั้งปี พาท่านขึ้นสกายวอล์คที่มีความสูง 6 ชั้น ท่านสามารถชมวิวทะเลหมอกในมุมสูง พร้อมกับทัศนียภาพของขุนเขาที่เรียงรายสลับซับซ้อน (มีค่ารองเท้าผ้าสำหรับเดินบนพื้นกระจก 30 บาท/ท่าน) |
07.00 น. | เดินทางกลับโรงแรม |
08.00 น. | ถึง โรงแรมแกรนด์แมนดารินเบตง ให้ท่านรับประทานอาหารเช้าและจัดเก็บสัมภาระให้เรียบร้อย |
09.30 น. | ออกเดินทางไปยัง อุโมงค์ปิยะมิตร |
10.00 น. | ถึง อุโมงค์ปิยะมิตร เป็นอุโมงค์ดินที่อดีตขบวนการโจรคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.) สร้างขึ้นสำหรับเป็นฐานปฏิบัติการต่อสู้ทางการเมือง แต่ต่อมาได้กลับมาร่วมพัฒนาชาติไทย โดยอุโมงค์แห่งนี้สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2519 เพื่อใช้หลบการโจมตีทางอากาศและสะสมเสบียง |
12.00 น. | รับประทานอาหารกลางวัน |
13.00 น. | เดินทางไปยัง น้ำพุร้อนเบตง |
13.15 น. | ถึง น้ำพุร้อนเบตง เป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติขนาดใหญ่ มีขนาดพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ โดยจะมีน้ำร้อนผุดขึ้นมาจากใต้ดิน ประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ มากมาย อุณหภูมิของน้ำอยู่ที่ประมาณ 80 องศาเซลเซียส ให้ท่านได้แวะถ่ายรูปและแช่เท้าตามอัธยาศัย |
13.45 น. | เดินทางไปยัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา |
19.00 น. | ถึง ท่าอากาศยานหาดใหญ่ เจ้าหน้าที่ให้การอำนวยความสะดวกเช็คสัมภาระแก่ท่าน |
20.50 น. | ออกเดินทางสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบินนกแอร์ เที่ยวบินที่ DD 509 |
22.15 น. | ถึง ท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพพร้อมความประทับใจ |
***กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงประโยชน์ของลูกค้าเป็นหลัก***